ปีพ.ศ 2550 ได้มีการรวมตัวกันของชาวบ้านหมู่ 6 ชุมชนสันติพัฒนา ต.บาง สวรรค์ อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานีส่วนใหญ่เป็นคนยากจนไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองหรือมีแต่ ไม่เพียงพอ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ทำสวนปาล์ม สวนยางพารา สวนผลไม้
ได้รวมกลุ่มกันประมาณ 100 คน เข้ารายชื่อเพื่อขอให้รัฐบาลจัดสรรที่ดินทำกินให้และได้ร่วมกันตรวจสอบการ ถือครองที่ดินของบริษัทสหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มจำกัด และบริษัทสวนสุราษฎร์จำกัด ซึ่งในปีเดียวกันนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้มีคำสั่งที่88/2550และ157/2550แต่งตั้งตัวแทนระดับจังหวัดโดยมีองค์ประกอบจากสำนักงานที่ดินจังหวัด นายอำเภอ ได้มีข้อสรุปว่า ที่ดินบางส่วนของบริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มจำกัดที่ครอบครองใช้ประโยชน์ปลูกปาล์มน้ำมันอยู่ เป็นการถือครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายมีบางส่วนอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรบางส่วนอยู่ ในกรรมสิทธิ์ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดิน(สปก.)
เดือนก.ยปีพ.ศ2550ชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนา101ครอบครัว ได้มีมติเข้าไปตั้งชุมชนในที่ดินที่อยู่ในกรรมสิทธิของสปก.ซึ่งบริษัทได้เข้าไปบุกรุกปลูกปาล์มน้ำมันมานานกว่า 20 ปี โดยทางสปก.ไม่ได้ดำเนินการตามกฎหมายกับบริษัทแต่อย่างใด ในขณะที่ชาวบ้านได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยงานรัฐหลายหน่วยเช่น สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฯลฯ
ต่อมาบริษัทสหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มได้ดำเนินคดีกับชาวบ้านใน 3ช่วงเวลา ช่วงแรกเมื่อเดือนธ.ค 2551ฟ้องชาวบ้านจำนวน 4 คน คดีแพ่งขับไล่และเรียกค่าเสียหายมูลค่า5.3 ล้านบาท อ้างว่าพื้นที่ที่ชาวบ้านเข้าไปใช้ประโยชน์จำนวน1,400ไร่ เป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ น.ส.3.ก ในของชื่อบริษัท10แปลง รวมเนื้อที่325 ไร่ ส่วนที่เหลืออ้างว่าอยู่ระหว่างการออกเอกสารสิทธิ ช่วงที่สอง วันที่ 25 มี.ค 2552 บริษัทได้ฟ้องชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนาเพิ่มอีก 12 รายเรียกค่าเสียหายจำนวน 10ล้านและขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้จำเลยทั้งหมดรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินน.ส.3.ก เลขที่ 731,732,733 หมู่ 6 ต.บางสวรรค์ อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี โดยโจทก์อ้างว่าชุมชนตั้งอยู่บนที่ดินที่บริษัทครอบครองอยู่ และให้ศาลออกหมายจับจำเลยทั้งหมดอ้างว่าขัดคำสั่งศาลไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป ช่วงที่สาม เดือนเมษายน 2552 ทางบริษัทสหอุตสหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด ได้แจ้งความดำเนินคดีอาญาในข้อหาบุกรุกกับชาวบ้านกลุ่มเดิม ที่สถานีตำรวจภูธรพระแสงจังหวัดสุราษฎร์ธานี ครั้งนี้ได้ส่งหมายเรียกผู้ต้องหามาทางไปรษณีย์ให้ไปพบพนักงานสอบสวนในวัน ที่ 27 เมษายน 2552 ซึ่งในวันเดียวกันนี้ผู้ต้องทั้ง 12 คนได้ไปยื่นหนังสือขอพบพนักงานสอบสวนแต่ทางพนักงานสอนสวนไม่อยู่ทางรองผู้ กำกับขอรับหนังสือไว้แทน ต่อมาในวันที่ 16 พฤษภาคม 2552 สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อกำลัง ตำตรวจหลายร้อยนายนำหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้เข้าไปในชุมชน จับผู้ต้องหาได้หนึ่งคนคือ นายสุเทพ ขันฤทธิ์ ส่งศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ใช้เงินสดกลุ่มออมทรัพย์ของสมาชิกจำนวน 90,000 บาทประกันตัวออกมา ทราบภายหลังจากการตรวจสอบเอกสารของทนาย ฝ่ายจำเลยว่า หมายจับที่พนักงานสอบสวนขอออกจากศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีลงวันที่ 27 เมษายน 2552 วันเดียวกับวันที่พนักงานสอบสวนนัดผู้ต้องหาไปพบ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงพร้อมลงพื้นที่เมื่อวันที่ 3-4 พฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมาชี้ว่าจากการดูแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศพ.ศ 2518 พบว่าในพ.ศ 2519 เอกสารสิทธิในที่ดิน น.ส. 3ก ของบริษัท ที่ใช้อ้างในคำฟ้องคือแปลงเลขที่ 731,732,733 ทั้ง 3 แปลงออกทับพื้นที่ป่าทึบไม่มีร่องรอยการทำประโยชน์จึง สรุปได้ว่า น.ส.3ก ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย แต่ศาลก็ยังใช้ข้อกล่าวอ้างนี้มาออกหมายบังคับคดีให้รื้อย้ายชุมชนออกไปให้ พ้นพื้นที่พิพาทตามที่บริษัทสหอุตสหกรรมน้ำมันปาล์มมหาชนจำกัดกล่าวอ้างในคำ ฟ้อง
เร็วๆนี้เมื่อวันที่ 5 ธ.ค ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีสั่งให้กรมที่ดินทำแผนที่พิพาทร่วมกันทั้งทางฝ่ายโจทก์ จำเลย แต่เจ้าหน้าที่กรมที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานีไม่ยอมรังวัดเจาะจงพื้นที่น.ส.3กทั้ง3แปลง จึงไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่าที่ดินแปลง731,732,733 อยู่ตรงไหนกันแน่ ทำให้ไม่สามารถรังวัดรายแปลงได้จึงพากันกลับและไปแถลงต่อศาลในวันที่18 ธ.ค 2552
ขณะ นี้คดีความที่บริษัทสหอุตหกรรมน้ำมันปาล์มมหาชนจำกัด ฟ้องร้องทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ยังดำเนินต่อไปในศาลแม้มีข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจนแล้วก็ตาม ตลอดระยะเกลือบ1ปีเต็มที่ชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนาต้องเผชิญกับหลายเหตุการณ์ ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมมือกับนายทุนกระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิ ชุมชน แต่ชาวบ้านกลุ่มนี้ก็ยังยืนต่อสู้ขอใช้สิทธิในที่ดินผืนนี้ต่อไป
