"ฉัตรชัย" ขยายวงหารือบิ๊กธุรกิจรอบสอง เผยหารือ 4 เจ้าสัวสำเร็จ "เซ็นทรัล-ซีพี-ไทยเบฟ-สหพัฒน์" รับปากหนุนภาครัฐเต็มที่ ผุดโมเดลนำร่องปั้นคลัสเตอร์ หนุนเอสเอ็มอีไทยโกอินเตอร์ เผยส่งออกพลิกกลับ เดือน ก.ย.ขยายตัวสูงสุดในรอบ 16 เดือน ชี้ ศก.สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่นส่งสัญญาณฟื้น ยอดขายข้าวโตพรวด มันสำปะหลัง ไก่แช่แข็ง ได้อานิสงส์ด้วย
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ผลจากการหารือระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับตัวแทนภาคเอกชนรายใหญ่ 4 ราย เมื่อวันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมา มีแนวโน้มว่าจากนี้ไปจะได้เห็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชนในการผลักดันขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมและการหามาตรการป้องกันแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ ล่าสุด นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการและกรรมการบริหาร กลุ่มสหพัฒน์ และนายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล ยืนยันพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแก้ปัญหาส่งออก ค่าครองชีพ ผลผลิตทางการเกษตร ธุรกิจเอสเอ็มอี ฯลฯ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี และน่าจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจโดยรวมที่กำลังชะลอ
ดึงบิ๊กเอกชนจับเข่าคุยเพิ่ม
ขณะเดียวกันนอกจากผู้ประกอบการรายใหญ่ดังกล่าวแล้วตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทำหนังสือเชิญผู้บริหารกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่รายอื่น ๆ มาพบปะ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหารือถึงแนวทางการเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์กระทรวงพาณิชย์ ที่วางไว้ 4-5 เรื่อง อาทิ การรักษาระดับราคาสินค้า การดูแลปัญหาค่าครองชีพ การส่งออก การค้าชายแดน การเตรียมความพร้อมสู่อาเซียน การพัฒนาศักยภาพของผู้ส่งออก ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งเป็นแนวทางที่จะต้องดำเนินการควบคู่กันไป
"ผมกำลังหาโอกาสพบปะเอกชนรายอื่นไม่ใช่เฉพาะเจ้าสัว 4 ท่านเท่านั้น ตอนนี้กำลังให้ทีมงานดูอยู่ ในการพบกับ 4 เจ้าสัวนั้น ส่วนหนึ่งเพราะผมรู้จักเป็นการส่วนตัว และทุกท่านมีจิตหวังดีกับประเทศชาติ อาจเป็นความโชคดีของผมที่ไม่มีพรรคการเมือง ทำให้เอกชนสามารถเข้ามาช่วยเหลือโดยไม่ต้องระแวง วันนี้ทางท่านทศ กลุ่มเซ็นทรัล มีหนังสือแจ้งว่า ยินดีจะให้ความช่วยเหลือในทุกเรื่อง ขณะที่ท่านเจ้าสัวธนินท์ก็บอกว่าพร้อม"
ให้รายใหญ่เป็นพี่เลี้ยงเอสเอ็มอี
พล.อ.ฉัตรชัยกล่าวว่าประเด็นสำคัญที่ขอความร่วมมือจากกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ คือการจัดตั้งคลัสเตอร์ โดยให้ผู้ประกอบการรายใหญ่นำกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีออกไปลงทุนสาขาต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น ภาคการเกษตร ค้าปลีก เป็นต้น เพื่อให้เอสเอ็มอีได้เรียนรู้ศักยภาพในการทำงาน วิธีคิด วิธีการพัฒนาตัวเอง ทำอย่างไรให้สามารถแข่งขันได้ เช่น การสร้างมูลค่าสินค้า โดยการพัฒนาและออกแบบบรรจุภัณฑ์ เช่น ข้าวถุง สามารถสร้างเรื่องราว (Story) ในฉลากบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภครับรู้ถึงความเป็นมาของสินค้า มีคุณภาพ มีความปลอดภัย กระทั่งบางรายสามารถเพิ่มมูลค่าได้ถึง 3-4 เท่าจากปกติ
"วันนี้มีการประชุมกันที่กระทรวงพาณิชย์ มีการตั้งเป็นกลุ่ม ๆ ขึ้นมา
ผู้ประกอบการรายใหญ่รายไหนถนัดอะไร เช่น ซีพีถนัดเรื่องเกษตร ก็ขอให้นำกลุ่มเกษตร หรือเซ็นทรัลถนัดเรื่องค้าปลีกก็อาศัยกลุ่มนี้พาไป"
ตั้ง 4 ชุดดันยุทธศาสตร์พาณิชย์
พล.อ.ฉัตรชัยกล่าวว่า ล่าสุดในการประชุมร่วมกับ นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐบาล-เอกชน 4 ชุด เป็นส่วนหนึ่งของแผนการวางยุทธศาสตร์นี้แล้ว และจะพยายามผลักดันแนวทางนี้ให้เกิดขึ้นในทางปฏิบัติโดยเร็วที่สุด (อ่านประกอบหน้า 6)
"เมื่อเช้าพบกับสภาหอฯ อันนั้นเป็นที่ย่อย ๆ ลงมา จริง ๆ ผมคุยกับที่ใหญ่กว่านั้น สภาหอฯก็มีอีกส่วนที่ตามมาจากสภาหอฯ (เซ็นทรัล กับ ซีพี) มาด้วย แต่ยังไม่หมด ผมได้คุยกับเบอร์ 1 ไว้หมดแล้ว แต่รอให้เจ้าหน้าที่ระดับรอง ๆ ลงมาทำแผนให้ชัดก่อน"
ส่งออก ก.ย.โต 3.2%
ด้านสถานการณ์การส่งออก นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยเดือน ก.ย. 2557 กลับมาขยายตัวที่ 3.2% มีมูลค่า 19,912.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนการนำเข้ามูลค่า 21,711.0 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นมูลค่าที่สูงที่สุดในรอบ 16 เดือน ขยายตัว 14.42% ส่งผลให้ขาดดุลการค้า 1,798.3 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมแล้วยอดส่งออกในระยะ 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) 2557 มูลค่า 170,456.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ยังคงติดลบ 0.85% ส่วนการนำเข้ามูลค่า 171,974.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 10% ส่วนดุลการค้ายังคงขาดดุลสะสม 1,517.5 ล้านเหรียญสหรัฐ
"ส่งออกเดือนนี้พลิกกลับมาเป็นบวกตามสัญญาณการฟื้นตัวในตลาดสำคัญ ได้แก่ สหรัฐ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ขยายตัว และอาเซียน กลับมาเป็นบวก 8.8% รวมทั้งการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในกลุ่มสินค้าเกษตรเพิ่ม 2.8% โดยเฉพาะข้าวขยายตัวสูงถึง 49.2% มันสำปะหลัง 12.6% และไก่แช่แข็งและแปรรูป 13.9% ซึ่งถ้าภาพรวมปีนี้จะเป็นบวกได้ก็ต่อเมื่อ 3 เดือนสุดท้ายส่งออกต้องได้เดือนละ 19,500 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป" สำหรับการนำเข้าที่ขยายตัวขึ้นมาก เป็นผลจากนำเข้าทองคำเพิ่มขึ้น 67.3% เพื่อการเก็งกำไรจากการที่ระดับราคาทองคำในตลาดโลกอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบปี 2557 รวมทั้งมีการนำเข้าเหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ประเภทเหล็กแผ่น และเหล็กท่อ เหล็กเส้น จากจีนสูงขึ้นถึง 80.4% และการนำเข้าจากปัจจัยชั่วคราว ได้แก่ การนำเข้าเครื่องบินและแท่นขุดเจาะน้ำมัน ทำให้การนำเข้ากลุ่มวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป และสินค้าทุน 21.8% และ 17.5% นอกจากนี้การนำเข้ากลุ่มเชื้อเพลิงขยายตัวเช่นกันที่ 6.3% จากการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปและก๊าชธรรมชาติ ที่ขยายตัว 105.0% และ 41.5% ตามลำดับ
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 31 ต.ค. 2557
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.