โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนาในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท วงเงิน 5.5 หมื่นล้านบาท อาจถูกมองว่ามีความซ้ำซ้อน เรื่องนี้คิดว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลัง นั้น โดย นายจารึก กล่าวอีกว่า ไม่อยากเห็นชาวนาเหมือนเดิม ต้องรอเงินทุกปี หากไม่มีนโยบายมา เชื่อว่าบางกลุ่มอยู่เบื้องหลัง เป็นระดับรัฐมนตรี อยากให้มาฟังมุมของกลุ่มศูนย์ข้าวชุมชนบ้าง และอยากให้สำนักงบประมาณทบทวนเรื่องนี้ใหม่
สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย มองว่าการให้สัมภาษณ์ ของนายจารึก เป็นมุมมองที่รู้สึกว่าไม่กว้างนัก ทำให้รู้สึกว่าคุณจารึกไม่ได้ให้ความสำคัญถึงเกษตรกรกลุ่มใหญ่ของประเทศ ที่มีจำนวน4.68ล้านครัวเรือน หรือ16ล้านคน มองเพียงกลุ่มศูนย์ข้าวชุมชน เพียงไม่กี่ศูนย์ และก็ทราบดีว่าที่ผ่านมามีปัญหาการทุจริต และการมองว่าการช่วยเหลือชาวนา ไร่ละ1,000บาท ไม่เกิน20ไร่ อาจมีความ ซ้ำซ้อนเรื่องนี้คิดว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลัง
“ไม่ทราบท่านคิดได้อย่างไร ว่าการช่วยเหลือชาวนา ไร่ละ1,000บาท ที่เงินถึงมือชาวนาโดยตรง มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ได้อย่างไร ทั้งที่สถานการณ์ขณะนี้ ชาวนาประสพปัญหา ค่าของชีพ ค่าปุ๋ยค่ายา และปัญหานำ้ท่วมในขณะนี้ เงินไร่ละ1,000บาท ไม่เกิน20ไร่ จึงมีความหมายต่อชาวนามาก การที่มีการให้ข่าวว่า การช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท เป็นการช่วยชาวนาให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในระยะยาว และยังจะซ้ำซ้อนกับศูนย์ข้าวชุมชน 1.5 หมื่นล้านที่จะเป็นการแก้ปัญหาระยะยาวนั้น”
นายเดชา กล่าวว่า ทางสมาคมชาวนาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เนื่องจากการจัดซื้อเครื่องมือเครื่องจักร อุปกรณ์ เมล็ดพันธ์ุต่างๆ ของศูนย์ข้าวชุมชน ทราบข่าวว่าเกิดมีปัญหาการทุจริตในการจัดซื้อ และไม่ตอบโจทย์ความต้องการของชาวนารายย่อยจำนวนมากที่ต้องการจะนำเงินส่วนนี้ไปทำทุน ซื้อหาปัจจัยการผลิตสำหรับนาของตัวเองอย่างแน่นอน และ การจะกล่าวหาว่าชาวนาต้องนั่งรอเงินส่วนนี้ทุกปีนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะค่าครองชีพและปัจจัยทางการผลิตสูงมาก ทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้คือสนับสนุนส่งเสริมชาวนาโดยตรงไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน20ไร่ เพราะไม่มีการรั่วไหลจากการจัดซื้ออย่างแน่นอน
สำหรับคนที่ขัดขวางไร่ละ 1,000 บาท และสนับสนุนให้เปลี่ยนมาใช้จ่ายผ่านศูนย์ข้าวชุมชนคงเรื่องนี้น่าเป็นห่วง เพราะไม่ครอบคลุมถึงชาวนาทุกคน คนที่ได้ประโยขน์เป็นเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น และอาจจะทำให้มีความเสี่ยงที่อาจเกิดการรั่วไหลของเงิน ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ต่อชาวนาอย่างแท้จริง เนื่องจากเท่าที่ผ่านมาได้ข่าวเห็นมีการร้องเรียนฟ้องร้องกัน และยังกล่าวหาว่าเป็นการช่วยเหลือซ้ำซ้อนนั้น เป็นการไม่เห็นใจชาวนาส่วนใหญ่ของประเทศเลย ชาวนาในประเทศไทยมีทั้งหมด 4.68 ล้านครัวเรือน หรือประมาณ 16 ล้านคน
“ศูนย์ข้าวชุมชนมีกี่ศูนย์ เข้าใจว่าเดิมมี 2,000 กว่าศูนย์ และศูนย์ที่มีอยู่มีความสัมฤทธิ์ผลกี่ศูนย์ มีปัญหาเรื่องการทุจริตกี่ศูนย์ มีน้ำหนักเพียงพอแค่ไหนที่จะยกมาบอกว่าประสบความสำเร็จ สามารถช่วยเหลือให้ชีวิตชาวนา 16 ล้านคน หรือ 4.68 ล้านครัวเรือนให้ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และการที่จะขยายตัวเพิ่มเติมอีก จนถึง 5,000 ศูนย์ จะมีความคุ้มค่ากับการใช้งบประมาณแค่ไหน นับเป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับเรื่องศูนย์ข้าวชุมชน ทางสมาคมฯคิดว่าต้องทำให้ศูนย์ข้าวที่มีอยู่เดิม 2,000 กว่าศูนย์ให้เข้มแข็งสัมฤทธิ์ผลทั้งหมดให้ได้ก่อน แล้วค่อยขยายโครงการเพิ่ม เดี๋ยวอาจจะกลายเป็นโครงการยัดเยียด เบียดบัง ก็เป็นเรื่องที่ต้องควรระมัดระวัง”
นายเดชา กล่าวอีกว่า ตามที่นายสุเทพ คงมาก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒินโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) และที่ปรึกษาอธิบดีกรมการข้าว ด้านเกษตรอินทรีย์ ได้สัมภาษณ์ว่า “เป็นเรื่องที่พวกเราหาเรื่องกันเอง เพราะสำนักงบฯไม่มีเงิน ก็ยังเกลี่ยเรื่องประกันรายได้ข้าว และโครงการคู่ขนานกันอยู่เลยที่ยังไม่สามารถเข้า ครม.ได้ในตอนนี้ เพราะความจริงสมควรที่จะเข้า ครม.แล้ว ผมก็ไปคุยกับ ธ.ก.ส. ก็บอกว่าเราไปหลงกล เข้าทางกับสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ก็ช่วยไม่ได้แล้ว ที่ผ่านมาพยายามเลี่ยงที่จะไม่จ่ายไร่ละ 1,000 บาทอยู่แล้ว สมาคมชาวนาฯ อ่านเกมไม่ทัน แต่ถ้าอยากจะได้แค่นี้ก็เอาแค่นี้”
“ผม มีความเห็น ต่อการให้สัมภาษณ์ ของนายสุเทพ คงมาก ดังนี้ เรื่องเกิดขึ้นจากกรมการข้าวได้ตั้งเรื่องของบประมาณ กรมการข้าว ตั้งเรื่องอย่างไร สำนักงบประมาณก็คงอนุมัติตามนั้น จะเป็นอย่าอื่นคงไม่ได้ ซึ่งสำนักงบประมาณ มีหนังสือยืนยันชัดเจน และประเด็นสำคัญพวกท่านก็ทำงานร่วมกับราชการ ไม่ควรอย่างยิ่งที่มาดูถูกการทำงานของสำนักงบประมาณว่าเชื่อฟังสมาคมชาวนามากไป ถือเป็นการก้าวล่วงการทำงานของหน่วยงานราชการอย่างชัดเจน อีกทั้งสมาคมชาวนาฯเป็นสมาคมเล็กๆ ไม่อาจไปชักจูง หรือสั่งการหน่วยงานราชการไหนได้ การเคารพและให้เกียรติการทำงานของผู้อื่น อันนี้ถือเป็นผู้ทรงเกียรติและเป็นผู้ทรงคุณวุฒิอย่างแท้จริง”
นายเดชา กล่าวอีกว่า การที่นายสุเทพ คงมาก ซึ่งมีฐานะที่ปรึกษาอธิบดีกรมการข้าว บอกว่าสมาคมชาวนาฯอ่านเกมส์ไม่ทันนั้น สมาคมชาวนาฯ ขอบอกผ่านไปยังนายสุเทพ ว่านายสุเทพ เองน่าจะอ่านเกมส์ไม่ทันมากกว่า ก็ขออนุญาตแนะนำตรงนี้ว่าการทำงานควรระมัดระวัง ด้วยความเคารพ ความเป็นห่วง เพราะท่านเป็นนายกกิตติมศักดิ์สมาคมชาวนาฯ อาจทำให้เกิดความสับสนในหมู่สมาชิก คิดว่าเป็นนโยบายของสมาคมชาวนาฯอาจส่งผลสร้างความแตกแยกได้
"ขอให้ท่าน ระมัดระวังแยกแยะให้ชัดเจน และที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งคือเรื่องประโยชน์ทับซ้อน ที่ผ่านมาสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย อ่านเกมส์ชัดจึงออกมาเคลื่อนไหว เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับพี่น้องเกษตรกรชาวนา 4.68 ล้านครัวเรือน หรือ 16 ล้านคน ทั้งที่เป็นสมาชิกและไม่ได้เป็นสมาชิก ในสถานการณ์ที่ค่าครองชีพสูง ปุ๋ยยาราคาแพงแบบนี้ เงินทุกบาททุกสตางค์มีคุณค่า และเป็นประโยชน์ต่อชาวนาอย่างยิ่งหากนายสุเทพ คงมาก ไม่ประสงค์ที่จะเป็นนายยก กิตติมศักดิ์สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย รวมถึง ไม่ประสงค์จะเป็นสมาชิกของสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ก็ขอให้ลาออกไปพวกเรามิได้ขัดขวางแต่อย่างใด"
“ศูนย์ข้าวชุมชนมีกี่ศูนย์ เข้าใจว่าเดิมมี 2,000 กว่าศูนย์ และศูนย์ที่มีอยู่มีความสัมฤทธิ์ผลกี่ศูนย์ มีปัญหาเรื่องการทุจริตกี่ศูนย์ มีน้ำหนักเพียงพอแค่ไหนที่จะยกมาบอกว่าประสบความสำเร็จ สามารถช่วยเหลือให้ชีวิตชาวนา 16 ล้านคน หรือ 4.68 ล้านครัวเรือนให้ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และการที่จะขยายตัวเพิ่มเติมอีก จนถึง 5,000 ศูนย์ จะมีความคุ้มค่ากับการใช้งบประมาณแค่ไหน นับเป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับเรื่องศูนย์ข้าวชุมชน ทางสมาคมฯคิดว่าต้องทำให้ศูนย์ข้าวที่มีอยู่เดิม 2,000 กว่าศูนย์ให้เข้มแข็งสัมฤทธิ์ผลทั้งหมดให้ได้ก่อน แล้วค่อยขยายโครงการเพิ่ม เดี๋ยวอาจจะกลายเป็นโครงการยัดเยียด เบียดบัง ก็เป็นเรื่องที่ต้องควรระมัดระวัง”
นายเดชา กล่าวอีกว่า ตามที่นายสุเทพ คงมาก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒินโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) และที่ปรึกษาอธิบดีกรมการข้าว ด้านเกษตรอินทรีย์ ได้สัมภาษณ์ว่า “เป็นเรื่องที่พวกเราหาเรื่องกันเอง เพราะสำนักงบฯไม่มีเงิน ก็ยังเกลี่ยเรื่องประกันรายได้ข้าว และโครงการคู่ขนานกันอยู่เลยที่ยังไม่สามารถเข้า ครม.ได้ในตอนนี้ เพราะความจริงสมควรที่จะเข้า ครม.แล้ว ผมก็ไปคุยกับ ธ.ก.ส. ก็บอกว่าเราไปหลงกล เข้าทางกับสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ก็ช่วยไม่ได้แล้ว ที่ผ่านมาพยายามเลี่ยงที่จะไม่จ่ายไร่ละ 1,000 บาทอยู่แล้ว สมาคมชาวนาฯ อ่านเกมไม่ทัน แต่ถ้าอยากจะได้แค่นี้ก็เอาแค่นี้”
“ผม มีความเห็น ต่อการให้สัมภาษณ์ ของนายสุเทพ คงมาก ดังนี้ เรื่องเกิดขึ้นจากกรมการข้าวได้ตั้งเรื่องของบประมาณ กรมการข้าว ตั้งเรื่องอย่างไร สำนักงบประมาณก็คงอนุมัติตามนั้น จะเป็นอย่าอื่นคงไม่ได้ ซึ่งสำนักงบประมาณ มีหนังสือยืนยันชัดเจน และประเด็นสำคัญพวกท่านก็ทำงานร่วมกับราชการ ไม่ควรอย่างยิ่งที่มาดูถูกการทำงานของสำนักงบประมาณว่าเชื่อฟังสมาคมชาวนามากไป ถือเป็นการก้าวล่วงการทำงานของหน่วยงานราชการอย่างชัดเจน อีกทั้งสมาคมชาวนาฯเป็นสมาคมเล็กๆ ไม่อาจไปชักจูง หรือสั่งการหน่วยงานราชการไหนได้ การเคารพและให้เกียรติการทำงานของผู้อื่น อันนี้ถือเป็นผู้ทรงเกียรติและเป็นผู้ทรงคุณวุฒิอย่างแท้จริง”
นายเดชา กล่าวอีกว่า การที่นายสุเทพ คงมาก ซึ่งมีฐานะที่ปรึกษาอธิบดีกรมการข้าว บอกว่าสมาคมชาวนาฯอ่านเกมส์ไม่ทันนั้น สมาคมชาวนาฯ ขอบอกผ่านไปยังนายสุเทพ ว่านายสุเทพ เองน่าจะอ่านเกมส์ไม่ทันมากกว่า ก็ขออนุญาตแนะนำตรงนี้ว่าการทำงานควรระมัดระวัง ด้วยความเคารพ ความเป็นห่วง เพราะท่านเป็นนายกกิตติมศักดิ์สมาคมชาวนาฯ อาจทำให้เกิดความสับสนในหมู่สมาชิก คิดว่าเป็นนโยบายของสมาคมชาวนาฯอาจส่งผลสร้างความแตกแยกได้
"ขอให้ท่าน ระมัดระวังแยกแยะให้ชัดเจน และที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งคือเรื่องประโยชน์ทับซ้อน ที่ผ่านมาสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย อ่านเกมส์ชัดจึงออกมาเคลื่อนไหว เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับพี่น้องเกษตรกรชาวนา 4.68 ล้านครัวเรือน หรือ 16 ล้านคน ทั้งที่เป็นสมาชิกและไม่ได้เป็นสมาชิก ในสถานการณ์ที่ค่าครองชีพสูง ปุ๋ยยาราคาแพงแบบนี้ เงินทุกบาททุกสตางค์มีคุณค่า และเป็นประโยชน์ต่อชาวนาอย่างยิ่งหากนายสุเทพ คงมาก ไม่ประสงค์ที่จะเป็นนายยก กิตติมศักดิ์สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย รวมถึง ไม่ประสงค์จะเป็นสมาชิกของสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ก็ขอให้ลาออกไปพวกเรามิได้ขัดขวางแต่อย่างใด"
ที่มา : คอลัมน์การค้า การเกษตร, ฐานเศรษฐกิจ
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.