เพราะภาคการเกษตรของไทยต้องเผชิญความท้าทายต่างๆ ทีดีอาร์ไอจึงเสนอมาตรการปรับทิศการทำเกษตรด้วยกระบวนการที่ยั่งยืน ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตจนถึงการจำหน่ายสินค้าถึงมือผู้บริโภค แก้ปัญหาการบุกรุกป่าผิดกฎหมายและใช้สารเคมีทำการเกษตร พร้อมแนะมาตรการพักชำระหนี้ หรือเงินสินเชื่อสีเขียว (Green Credit) เพื่อเสริมแกร่งให้เกษตรกรไทยพร้อมเปลี่ยนผ่านสู่การทำเกษตรยั่งยืน
ในงานประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อ “มาตรการเพื่อส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนในภาคเกษตร” จัดโดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ร่วมกับองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ประเทศไทย ดร.กรรณิการ์ ธรมพานิชวงค์ นักวิชาการทีดีอาร์ไอ เปิดเผยผลการศึกษาว่า เนื่องด้วยภาคการเกษตรของประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตอาหาร แหล่งจ้างงาน และสร้างรายได้ที่สำคัญ แต่การขยายตัวของภาคเกษตรนำมาซึ่งปัญหาหลายด้าน อาทิ ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม ปัญหาการสูญเสียหน้าดิน ปัญหามลพิษทางน้ำและทางอากาศ เป็นต้น
ดังนั้น เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงมีการนำแนวคิดซึ่งสนับสนุนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนมาใช้ในภาคเกษตรของไทย อย่างไรก็ดี การสนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนสู่การผลิตที่ยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยมาตรการต่างๆ ทั้งทางเศรษฐศาสตร์ กฎหมาย ฯลฯ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ปรับเปลี่ยนมาใช้ปัจจัยการผลิตและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ มาตรการสำคัญในการสนับสนุนการผลิตที่ยั่งยืนในภาคเกษตรมีหลายประการ ประการแรก เน้นการแก้ปัญหาการทำเกษตรแบบไม่ยั่งยืนซึ่งบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำการเกษตร โดยควรส่งเสริมให้เกษตรกรที่บุกรุกป่าปรับเปลี่ยนจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวซึ่งใช้สารเคมีมาทำเกษตรแบบยั่งยืน เช่น ปลูกพืชผสมผสานแบบปราศจากสารเคมี โดยการดำเนินมาตรการดังกล่าวต้องแก้ไขข้อกฎหมายเพื่อให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรในพื้นที่ป่าได้
ประการที่สอง เนื่องจากการปรับเปลี่ยนมาทำการเกษตรแบบยั่งยืนต้องใช้เวลานานกว่าจะสร้างรายได้ อีกทั้งต้องใช้เงินลงทุนสูงในระยะแรก จึงควรนำมาตรการพักชำระหนี้ให้กับเกษตรกรที่ต้องการปรับเปลี่ยนมาทำเกษตรแบบยั่งยืน รวมถึงการให้เงินสินเชื่อสีเขียว (Green Credit) เพื่อเป็นเงินทุนให้เกษตรกรใช้เป็นค่าใช้จ่ายหมุนเวียนในการทำเกษตรแบบยั่งยืน โดยให้อัตราดอกเบี้ยแบบพิเศษ
ประการที่สาม ใช้มาตรการทางภาษี ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บภาษีสารเคมีเกษตร เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรเปลี่ยนมาใช้สารทางชีวภาพเพื่อกำจัดศัตรูพืช และการลดหย่อนภาษีให้ผู้ประกอบการที่สนับสนุนสินค้าเกษตรยั่งยืน อย่างไรก็ดี ก่อนที่ภาครัฐจะดำเนินการเก็บภาษีสารเคมี จำเป็นต้องมีการวิจัยและพัฒนาสารชีวภาพที่ใช้ทดแทนสารเคมีและไม่กระทบผลิตผล (Yield)
นักวิชาการทีดีอาร์ไอกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันตลาดสินค้าเกษตรยั่งยืนยังมีช่องทางการจำหน่ายที่จำกัดและเข้าถึงยาก ดังนั้น มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญที่ควรนำมาใช้คือ การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตรยั่งยืนและสร้างตลาดท้องถิ่น โดยมีการกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรยั่งยืนที่เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศและระดับสากลเพื่อรับรองสินค้าสำหรับการส่งออก มีการใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้ ควรมีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเกษตรยั่งยืนไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้บริโภคด้วย
อย่างไรก็ดี เห็นได้ว่ามาตรการที่สนับสนุนการผลิตที่ยั่งยืนในภาคการเกษตรมีหลายประการ หากให้ลำดับความสำคัญมาตรการที่สำคัญเพื่อที่จะช่วยให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนมาทำเกษตรแบบยั่งยืน ควรมุ่งเน้นมาตรการพักชำระหนี้ให้กับเกษตรกรที่จะปรับเปลี่ยนมาทำเกษตรแบบยั่งยืน รวมถึงการให้เงินสินเชื่อสีเขียว (Green Credit) เนื่องจากในช่วงเปลี่ยนผ่านระยะแรกมีความจำเป็นต้องเงินทุนสูงและใช้ระยะเวลานานกว่าจะสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร นอกจากนี้ ควรมีการบูรณาการร่วมกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม รวมถึงภาคประชาชน เพื่อให้มาตรการส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนในภาคเกษตรของประเทศไทยนำไปสู่การปฏิบัติจริง
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 28 ก.พ. 2562
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.