• หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับเรา
  • วิจัย
    • เอกสารการสัมมนา
    • เอกสารงานวิจัย
  • นาเช่า
  • สินค้า
    • ข้าวอินทรีย์
    • น้ำตาลโตนด
    • สบู่มะขามน้ำผึ้ง
  • English
  • E-Book
  • สื่อรณรงค์
    • Clip VDO
    • งานสื่อสิ่งพิมพ์
    • Infographic
    • สื่ออื่นๆ
    • บทความ
  • สิทธิที่ดิน
    • โฉนดชุมชน
    • ภาษี-ธนาคารที่ดิน
  • หนี้สินชาวนา
  • ค้นหา
  • Mapping
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับเรา
  • วิจัย
    • เอกสารการสัมมนา
    • เอกสารงานวิจัย
  • นาเช่า
  • สินค้า
    • ข้าวอินทรีย์
    • น้ำตาลโตนด
    • สบู่มะขามน้ำผึ้ง
  • English
  • E-Book
  • สื่อรณรงค์
    • Clip VDO
    • งานสื่อสิ่งพิมพ์
    • Infographic
    • สื่ออื่นๆ
    • บทความ
  • สิทธิที่ดิน
    • โฉนดชุมชน
    • ภาษี-ธนาคารที่ดิน
  • หนี้สินชาวนา
  • ค้นหา
  • Mapping
  • หน้าแรก
  • มูลนิธิชีวิตไท - ข้าวไทย

การปรับตัวของชาวนาไทย

ThaiRiceFarmerAdabtation การปรับตัวของชาวนาไทย                                    

 พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ 2561 

 บรรณาธิการ : พงษ์ทิพย์ สำราญจิตต์ 

 กองบรรณาธิการ : รศ.สมพร อิศวิลานนท์, 

 ดร.ปิยะทัศน์ พาฬอนุรักษ์, รศ.ดร.ธนพันธ์ ไล่ประกอบทรัพย์, 

 นันทวัน หาญดี, สมจิต คงทน, วรากร น้อยพันธ์, 

 อารีวรรณ คูสันเทียะ, ธีระพงษ์ วงษ์นา, ประพันธ์ โพธิ์พูลพรหม 

 ฝ่ายประสานงาน : นาขวัญ สกุลลักษณ์

 จัดพิมพ์โดย : มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)  

    download

   

   

 

 

 

"งานศึกษาชิ้นนี้ได้บ่งบอกว่า หากภาครัฐต้องการทำงานเพื่อหนุนเสริมกระบวนการปรับตัวของชาวนาและเกษตรกร

เพื่อให้มีพลวัตรไปสู่การแก้ไขปัญหาด้านต่าง ๆ ที่สะสมมายาวนาน

มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐ ต้องมีวิสัยทัศน์ที่มากไปกว่านโยบายระยะสั้น

และเห็นคุณค่าของการลงทุนทางด้านสังคม ไม่ว่าจะเป็นทุนด้านความรู้

ทุนด้านความคิด ด้านเครือข่าย เงินทุนที่มีความยั่งยืน และการจัดสรรที่ดิน

เพื่อให้โอกาสทำกินแก่เกษตรกร เพื่อการลงทุนด้านสังคมทั้งหมดนี้

ในท้ายที่สุดแล้ว จะสร้างโอกาสและเสริมศักยภาพ

เพื่อให้การปรับตัวขอ่งชาวนาและเกษตรกรไทย.....

เป็นไปได้บนเส้นทางที่ยั่งยืน"

        

ข้าวไทยติดหล่มประชานิยม อุดหนุนบานปลาย-เร่งพัฒนาพันธุ์

ThaiRiceResearch

การใช้นโยบายประชานิยม อุดหนุนแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่ได้สร้างแรงจูงใจให้ชาวนาพัฒนา ยกระดับและนำเทคโนโลยีมาใช้ นับเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายสะท้อนความกังวลออกมาจากการประชุมเวทีข้าวไทย 2565 ก้าวต่อไป นโยบายข้าวไทย ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อเร็ว ๆ นี้

รายได้เกษตรกรติดหล่ม

รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวบรรยายในหัวข้อ “นโยบายข้าวไทยในกระแสของโลกยุคใหม่” ว่า อุตสาหกรรมข้าวไทยในอดีตเติบโตสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรเป็นอย่างมาก จากการสนับสนุนนโยบายรัฐ และการเดินหน้าของภาคเอกชนที่สร้างกลไกการแข่งขัน ทำให้ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 นานกว่า 2 ทศวรรษ

แต่ปัจจุบันอุตสาหกรรมข้าวไทยเกิดการหยุดชะงัก สูญเสียตลาดให้คู่แข่ง ทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียวให้กับเวียดนาม ข้าวขาว ข้าวนึ่งให้กับอินเดีย

“ผลผลิตต่อไร่ของไทยก็ทรงตัวแค่ 485 กก./ไร่ ต่ำกว่าคู่แข่งในเอเชีย เวียดนาม 928 กก./ไร่ กัมพูชา 567 กก./ไร่ แพ้แม้กระทั่งบังกลาเทศ 752 กก./ไร่ ศรีลังกา เนปาล 608 กก./ไร่ เป็นสิ่งที่น่าอับอายมาก”

ขณะที่อัตราการลงทุนต่อจีดีพีของไทยลดลง และมีปัญหาคุณภาพแรงงาน ความต้องการจ้างแรงงานในภาคการเกษตรประมาณ 25-28% ขณะที่ GDP ภาคการเกษตรมีเพียง 8-9% ซึ่งก่อให้เกิดการเหลื่อมล้ำของรายได้ต่อหัวในภาคการเกษตร กับนอกภาคการเกษตร สูงถึง 4.5 เท่า เทียบกับมาเลเซียและจีนที่สูงกว่าเป็นเท่าตัว

แก้ต้นเหตุ

สาเหตุที่โครงสร้างอุตสาหกรรมข้าวไทยหยุดชะงัก เกิดวัฏจักรกับดักผลิตภาพต่ำ มาจากหลายปัจจัยทั้งมาตรการการอุดหนุนในภาคการเกษตรเป็นสิ่งที่กำลังทำลายแรงจูงใจไม่ให้เกษตรกรปรับตัวนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาปรับใช้ อีกทั้งมาตรการมีความซ้ำซ้อน

ทั้งโครงการประกันรายได้ และก็ยังมีมาตรการช่วยเหลือด้านต้นทุนและปรับปรุงคุณภาพข้าว ด้วยมี 2 พรรคการเมืองที่มีการหาเสียงไว้ ทำให้เกิดนโยบายซ้ำซ้อน เกิดการอุดหนุนเพิ่มขึ้น สูญเสียงบประมาณปีละ 140,000 ล้านบาท “สูงกว่า” งบประมาณของทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งยังใช้เงินนอกงบประมาณปีละแสนล้านบาทด้วย

ขณะที่แรงงานภาคเกษตรสูงอายุมากขึ้น รวมไปถึงการถูกดิสรัปชั่นจากต่างประเทศ โดยเฉพาะคู่แข่งที่มีการลงทุนงานวิจัย รวมไปถึงมีนักวิจัยมากกว่าไทย ซึ่งเมื่อดูงบประมาณวิจัยพันธุ์ข้าวของไทยมีเพียง 150-180 ล้านบาทต่อปี นักวิจัยน้อยลง ขาดนักปรับปรุงพันธุ์ข้าว

นอกจากนี้ ปัจจุบันก็มาเจอปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้ผลผลิตต่ำลง ใช้น้ำสิ้นเปลืองเมื่อเทียบพืชอื่น ๆ และกำลังจะได้รับผลกระทบจากมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของยุโรปและสหรัฐ ปรับขึ้นภาษีหากไม่มีการปรับตัว

เพิ่มรายได้เกษตรกร

เป้าหมายสำคัญไทยต้องเพิ่มรายได้ต่อหัวในภาคเกษตรเทียบเท่ารายได้นอกภาคการเกษตรได้อย่างไร ดังนั้น จำเป็นต้องยกระดับคุณภาพและมาตรฐาน และต้องพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อย่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยการยกระดับคุณภาพแรงงานภาคการเกษตร นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้เพิ่มผลผลิตต่อไร่

ตาราง เงินอุดหนุนชาวนา

 

“เป้าหมายการเพิ่มรายได้ของเกษตรกรเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ จำเป็นจะต้องมีเป้าหมายพัฒนาเศรษฐกิจนอกภาคการเกษตรเพื่อเพิ่มทักษะแรงงานที่มีคุณภาพ ทุกสาขาเศรษฐกิจไปพร้อมกันด้วย โดยรัฐบาลจะต้องกำหนดนโยบายไปพร้อมกันในภาพรวม”

ถึงเวลาปฏิรูปข้าวไทย

ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปภาคการเกษตร หากยังมีนโยบายอุดหนุนจำเป็นต้องมีเงื่อนไข เพราะหากไม่มีเงื่อนไข ทำให้เกษตรกรไม่มีแรงจูงใจในการปรับตัว

ดังนั้น ต้องลดการอุดหนุนที่มีความซ้ำซ้อน เช่น ประกันรายได้ใช้งบประมาณปีละ 8.67 หมื่นล้านบาท และมาตรการช่วยเหลือลดต้นทุน ปรับปรุงคุณภาพข้าว 5.53 หมื่นล้านบาท ออกจากกัน และให้นำงบฯส่วนนี้มาตั้ง “กองทุน” เพิ่มงานวิจัย และส่งเสริมกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เพิ่มผลิตภาพแรงงาน เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนการผลิต ลดการเผา เป็นต้น

“รัฐต้องเพิ่มงบฯวิจัยข้าว 1% ของจีดีพีข้าว คิดเป็นปีละ 3,000-3,500 ล้านบาท เวลา 5 ปีให้ได้ เปลี่ยนฐานะกรมวิชาการเกษตรและการวิจัยข้าว มารวมเป็นสถาบันอิสระ สร้างแรงจูงใจให้ทุนนักเรียนไทย เป็นนักวิจัยและปรับปรุงพันธุ์ข้าว

แก้ไขกฎหมายให้กรรมสิทธิ์นักปรับปรุงพันธุ์ เปลี่ยนบทบาทนโยบายของรัฐจากเป็นผู้ประเมิน ให้เกษตรกรดำเนินการ ปฏิรูปรับรอง มาตรฐานข้าวหอมมะลิไทย เพราะเสียเวลา เปิดให้นำพันธุ์ข้าวต่างประเทศมาวิจัย เป็นต้น”

นายสมพร อิศวิลานนท์ อาจารย์ภาควิชาเศรษฐศาสตร์และทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวบรรยายในหัวข้อ “นโยบายข้าวของรัฐกับการพัฒนาข้าวไทย” ระบุว่า โครงการประกันรายได้เริ่มเมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ในปี 2551-2552 ใช้งบประมาณ 1.1 แสนล้านบาท แต่ปัจจุบันปี 2562-2563 ใช้งบประมาณ 50,000 ล้านบาท บวกกับมาตรการคู่ขนานอีก 20,000 ล้านบาท

สิ่งสำคัญต้องผลักดันยุทธศาสตร์ข้าว 20 ปี ยกระดับและพัฒนาเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และรายได้เกษตรกร รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ก็ยังมีความท้าทายว่าข้าวไทยถูกลากจูงไปสู่พืชการเมือง นโยบายประชานิยม ใช้งบประมาณกว่าปีละ 1 แสนล้านบาท ในระยะยาวหากไม่เปลี่ยนแปลงจะแข่งขันลำบาก โดยการอุดหนุนทำได้แต่จำเป็นต้องแยกกลุ่มเปราะบาง จัดลำดับและช่วยเหลือได้ตรงเป้าหมายมากขึ้น

ถอดโมเดลอินเดีย

ด้าน นายศฎาวุฒิ กุลมณี รองกรรมการผู้จัดการบริหารสายงานวิจัยและพัฒนา บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด กล่าวบรรยายในหัวข้อ “ภาคีรัฐร่วมเอกชนในการพัฒนาข้าวของอินเดีย” ระบุว่า อินเดียมีพื้นที่ปลูกมากกว่าไทย 4 เท่า มีผลผลิตรวมเฉลี่ย 110-120 ล้านตันต่อปี

อินเดียให้ความสำคัญกับเมล็ดพันธุ์อย่างมาก โดยมีการสต๊อกและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันอินเดียเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ส่งออกแล้ว 18 ล้านตัน ณ เดือนพฤศจิกายน 2565 และคาดว่าสิ้นปีนี้จะส่งออกได้ 20 ล้านตัน

“การที่อินเดียมีการเติบโตทั้งด้านผลผลิตและการส่งออก เป็นผลมาจากสภาวิจัยการเกษตรอินเดีย (ICAR) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่รับผิดชอบการศึกษาการเกษตรประสานงานและการวิจัย ภายใต้กระทรวงเกษตรอินเดีย มีงบประมาณ 5.8 หมื่นล้านรูปี

ใช้ศึกษาและวิจัยด้านการเกษตร ส่งออก เพื่อยกระดับวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวร่วมกับหลายหน่วยงาน หลายสถาบันการศึกษา อีกทั้งรัฐเสริมงบประมาณ 2% ของจีดีพี หรือ 3.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในการเพาะปลูก ทั้งปุ๋ย ประกันรายได้ ไฟฟ้าฟรี ภาครัฐช่วยด้านการผลิต สร้างชลประทาน

รวมถึงส่งเสริมเครื่องจักร จนในปัจจุบันอินเดียสามารถพัฒนาพันธุ์ข้าวบาสมาติ มากกว่า 34 สายพันธุ์แล้ว”

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 17 ธ.ค. 2565

ชาวนาไทยเตรียมเฮ เคาะแล้วราคาประกันข้าวสูงลิ่ว

RicePriceGuarantee2020

ชาวนาไทยเตรียมเฮ เคาะแล้วราคาประกันข้าวสูงลิ่ว ข้าวทุกชนิดหมื่นบาทขึ้นต่อตัน

ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 วันศุกร์ที่ 17 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2563 เวลา 13.30 น.  ณ ห้องประชุมตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล

สถานการณ์ข้าวโลก ผลผลิตข้าวโลก คาดว่าจะมี 502.09 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.58 เนื่องจากผลผลิตข้าวของประเทศผู้ผลิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 

สต็อกข้าวโลก ปลายปี 63/64 คาดว่าจะอยู่ที่ 185.35 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.26 โดยจีนมีสต็อกข้าว 117.50 ล้านตัน รองลงมาคืออินเดีย 38 ล้านตัน ไทย 4.19 ล้านตัน

การส่งออกข้าวไทยเทียบกับประเทศผู้ส่งออกสำคัญ วันที่ 1 ม.ค. - 8 ก.ค.63 อินเดียส่งออกอันดับ 1 ของโลก 4.65 ล้านตัน รองลงมาได้แก่ เวียดนาม 4.17 ล้านตัน ไทย 3.15 ล้านตัน ปากีสถาน 2.07 ล้านตัน สหรัฐฯ 1.61 ล้านตัน การค้าข้าว ในตลาดโลก ไทยส่งออกลดลงเนื่องจากข้าวไทยมีราคาสูง

ราคาข้าวไทยเทียบกับประเทศผู้ส่งออกสำคัญ ก.ค.63 ไทยราคาข้าวปรับตัวลดลงเนื่องจากอินเดียและเวียดนามกลับมาส่งออกข้าวได้ตามปกติ ความต้องการซื้อข้าวไทยจึงมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากราคาข้าวไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่ง

แนวโน้มสถานการณ์การส่งออกข้าวไทย เมื่อเดือน ม.ค.63 สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดการณ์เป้าหมายการส่งออกข้าวปี 63 ไว้ที่ 7.5 ล้านตัน 

โดยมีปัจจัยสำคัญดังนี้
- ปัจจัยสนับสนุนการส่งออกข้าวไทย ได้แก่ ไทยได้รับจัดสรรโควตาประมูลนำเข้าข้าวจากเกาหลีใต้ ขณะที่ญี่ปุ่นเปิดประมูลนำเข้าข้าวอย่างต่อเนื่องจึงเป็นโอกาสการส่งออกข้าวไทย มาเลเซียและอินโดนีเซียอาจนำเข้าข้าวในช่วงครึ่งปีหลังเพิ่มขึ้น
- ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการส่งออกข้าวไทย ได้แก่ ข้าวไทยราคาสูงกว่าคู่แข่ง

มติประชุมสรุปดังนี้
เห็นชอบโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 โดยกำหนดราคาเป้าหมายและปริมาณต่อครัวเรือนเท่ากับปีที่ผ่านมา ประกอบด้วยข้าว 5 ชนิดดังนี้

1.ข้าวหอมมะลิ 15,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน

2.ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

3.ข้าวเจ้า 10,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน

4.ข้าวหอมปทุมธานี 11,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน

5.ข้าวเหนียว 12,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

โดยมอบหมาย ธ.ก.ส. กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และกระทรวงพาณิชย์ จัดทำรายละเอียดโครงการประกันรายได้ มาตรการคู่ขนาน และงบประมาณตาม พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และให้ พณ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ นบข. นำเสนอ ครม. ต่อไป

ที่มา : คมชัดลึก วันที่ 17 ก.ค. 2563

 
 
 

หวั่น “ข้าวขาวพื้นนุ่ม” ปลอมปนข้าวหอมมะลิ

WichaiSrinawakul

ศึกข้าวพื้นนุ่ม-หอมมะลิร้อน “โรงสีอีสาน” อัดเละร่างมาตรฐานข้าวใหม่ หวั่นแยกหน้าตาทางกายภาพไม่ออกลามปลอมปนหอมมะลิ จี้รัฐจัดโซนนิ่งก่อนทุบราคานาปี’64 ล่าสุดสัญญาณราคาดิ่ง 2 เดือน ข้าวเปลือกวูบ 5 พันบาท

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กลุ่มโรงสีอีสาน 160 โรง ขอแยกออกจากสมาคมโรงสีข้าวไทยมาตั้งสมาคมใหม่ในนามสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งถือเป็นพื้นที่ฐานการผลิตข้าวหอมมะลิที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย

แม้ว่าทั้งสองกลุ่มปฏิเสธว่าไม่ได้มีความขัดแย้งในการทำงานและการตั้งสมาคมรายภาคหรือชมรมโรงสีรายจังหวัดถือเป็นเรื่อง “ปกติ” แต่แท้จริงแล้วประเด็นแฝงที่ทำให้ 2 กลุ่มต้องแยกวง คือ ความไม่ลงรอยกันในเรื่องการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวขาวชนิดใหม่ ที่เรียกว่า “ข้าวขาวพื้นนุ่ม” เพื่อมาเป็นเป็นไฟติ้งโปรดักต์ให้ประเทศไทยนำไปแข่งขันส่งออกในตลาดโลก

โดยรัฐมีโจทย์ คือ ต้องพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีความนุ่ม และราคาต่ำระดับแข่งสู้เวียดนามได้ ประเด็นนี้ทำให้โรงสีหลายโรงมองว่า หากการจัดทำมาตรฐานไม่รอบคอบรัดกุมแยกชนิดข้าวไม่ได้ ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้ข้าวขาวพื้นนุ่มที่มีราคาต่ำไหลมาปลอมปนเป็นข้าวหอมมะลิ ซึ่งมีราคาต่างกัน 3 เท่าในการประชุมใหญ่สามัญปี 2563 ของสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงมีการแสดงความเห็นในประเด็นนี้ค่อนข้างร้อนแรง

แหล่งข่าวจากอนุกรรมการยกร่างมาตรฐาข้าวขาวพื้นนุ่มกล่าวว่า กระบวนการยกร่างข้าวขาวพื้นนุ่มโดยคณะอนุกรรมการประกอบด้วย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นประธาน พร้อมด้วยตัวแทนจากสมาคมโรงสีข้าวไทย สมาคมผู้ส่งออกข้าว และบริษัทผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว ได้มีการยกร่างเบื้องต้นแล้ว แต่ยังไม่แล้วเสร็จเพราะยังติดเรื่องการกำหนดเกณฑ์การตรวจสอบข้าวขาวพื้นนุ่ม

ซึ่งโดยปกติมี 2 เรื่อง ได้แก่ คุณสมบัติทางกายภาพและคุณสมบัติภายใน เช่น ค่าความเป็นแป้งในข้าวซึ่งวัดได้จากค่าอะมิโลส และค่าความบริสุทธิ์ (เพียวริตี้) ซึ่งลักษณะทางกายภาพข้าวขาวพื้นนุ่มแยกไม่ออกจากข้าวปทุมธานีและมะลิ จำเป็นต้องนำไปตรวจสอบค่าอะมิโลสและค่าความบริสุทธิ์ ก็ถือว่าห่างแบบ “เฉียดฉิว”

 

วิธีการตรวจสอบที่ดีที่สุด คือ ตรวจสอบลักษณะทางพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอจึงจะแยกได้ชัดกว่าการต้มและบดกระจก ซึ่งในตอนนี้มีห้องปฏิบัติการแห่งเดียว และต้องใช้เวลาตรวจสอบนาน มีค่าใช้จ่าย ซึ่งแม้ว่าจะมีดีมานด์ตลาดฟิลิปปินส์รองรับแต่ขนาดตลาดยังน้อยจะคุ้มค่าในการปลูกของชาวนาหรือไม่ยังเป็นคำถามอยู่ ซึ่งในองค์คณะก็ต้องยึดหลักการ หากจะกำหนดมาตรฐานต้องมีระบบการบริหารจัดการที่ดี เพื่อป้องกันการปลอมปนกับข้าวคุณภาพดีที่ไทยมีมาตรฐานแต่เดิม อันดับ 1 คือ ข้าวหอมมะลิ และอันดับ 2 ข้าวหอมไทย (ข้าวปทุมธานี)

สำหรับข้าวขาวพื้นนุ่มจะมี 4 สายพันธุ์ คือ กข.43 ซึ่งเคยทำตลาดไปแล้วเล็กน้อย ข้าว กข.77 และ กข.79 ที่อยู่ระหว่างการทดลองผลผลิตขั้นสุดท้าย คาดว่าจะทดลองออกสู่ตลาดในปลายปีนี้ และข้าว กข.87 ที่อยู่ระหว่างการรับรองพันธุ์โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

นายวิชัย ศรีนวกุล นายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยว่า จากนี้จะรวบรวมความเห็นของสมาชิกและเตรียมจะขอเข้าพบหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำมาตรฐานข้าวในเดือนตุลาคมนี้ โดยสมาชิกส่วนหนึ่งมองว่าไทยควรรักษาเอกลักษณ์ข้าวหอมมะลิซึ่งเป็นข้าวคุณภาพดีที่ปลูกในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไว้เป็นข้าวพรีเมี่ยมที่มีระดับราคาส่งออกสูง เพราะที่ผ่านมาผู้ซื้อยอมรับราคาระดับนี้ได้

นายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระบุว่า แม้ว่าข้าวหอมมะลิจะมีราคาสูงถึง 1,200 เหรียญสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา แต่เห็นได้ชัดเจนว่าตัวเลขการส่งออกนั้นไม่ลดลง แต่หากจำเป็นต้องปลูกข้าวขาวพื้นนุ่ม รัฐจำเป็นต้องวางมาตรการป้องกันปัญหาการปลอมปน เพราะแน่นอนว่าของราคาต่ำก็จะไหลไปเป็นของราคาสูง

“เท่าที่ทราบข้าวขาวพื้นนุ่มลอตแรกจะออกสู่ตลาดปลายปีนี้ช่วงเดียวกับผลผลิตนาปี 2563/2564 ซึ่งสถานการณ์ราคาข้าวขณะนี้ปรับตัวลดลงผิดปกติ โดยข้าวเปลือกราคาตันละ 13,000 บาท ราคาข้าวอ่อนตัวลดลงตันละ 5,000 บาทจากเมื่อช่วง 2-3 เดือนก่อนที่เคยมีราคาตันละ 17,000-18,000 บาท ทั้งที่ช่วงนี้เป็นช่วงปลายฤดู ซึ่งเราได้ตรวจสอบไปว่าเป็นเพราะโรงสีมีสต๊อกเยอะหรือไม่เลยทำให้ราคาข้าวลดลง แต่พบว่าปริมาณสต๊อกข้าวของโรงสีมีเพียง 2.5 แสนตันเท่านั้น ลดลงจากปกติที่ช่วงนี้ต้องมีมากกว่า 5 แสนตัน ซึ่งเมื่อราคาลดลงโรงสีต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กดราคารับซื้อแน่นอน แต่เราไม่ได้เป็นคนทำ ต้องไปชี้แจงเรื่องนี้”

“5 สมาคมที่เกี่ยวข้อง คือ โรงสี เมล็ดพันธุ์ ชาวนา ต้องมาคุยกันให้ตกผลึกว่าจะไปทางไหน ราคาตอนนี้ลดลงไม่มีเหตุผล อีกทั้งบายโปรดักต์พวกยี่จ้อ-ซาห่อจากข้าวหอมมะลิยังขายไม่ได้ ภาครัฐต้องเข้ามาดูแลเพราะสถานการณ์ซัพพลายยังไม่ออก สต๊อกไม่มาก ราคาต้องพุ่งกว่านี้ แต่เราโชคร้ายมาเจอโควิดซ้ำเติมอีกทำให้ต่างชาติที่เดินทางมากินข้าวเราหายไป 20 ล้านคน กิน 1 ล้านกระสอบหายไป ซึ่งหากผลผลิตนาปี 2563/2564 ออกปลายปีกังวลว่ามันจะลงหนักกว่านี้อีก”

นายสมศักดิ์ ตังพิทักษ์กุล ประธานชมรมโรงสี จ.ขอนแก่นกล่าวว่า ทุกคนกังวลปัญหาการคุกคามของข้าวขาวพื้นนุ่ม สมาคมใหญ่อาจจะเสียงไม่ดังพอ ซึ่งเราต้องบอกว่าไม่ได้คัดค้านข้าวนั้นแต่รัฐบาลต้องชัดเจน ปัจจุบันเรามีมาตรฐานข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมไทย และข้าวขาว ถ้ามีมาตรฐานข้าวขาวพื้นนุ่มมาแทรกแต่ไม่ได้มีความชัดเจนจะมั่วกันไปหมด เพราะราคาต่างกัน ข้าวหอมไทย 102-125 เหรียญสหรัฐ ข้าวหอมมะลิ 250 เหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ เมื่อมีผู้ซื้อโดยเฉพาะในต่างประเทศซื้อไปชิมแล้วเข้าใจผิดมองว่าเป็นข้าวหอมมะลิของไทย ส่วนหนึ่งอาจจะคุ้นเคยแล้วจะทำอย่างไร ดังนั้น ต้องมีคำแบ่งที่ชัดเจน เช่น ตอนนี้ข้าวหอมไทยที่ใช้ภาษาอังกฤษว่า “จัสมิน” ต้องเลิกใช้เลย เพราะหากดูตามคำแปลแล้วจะทำให้เข้าใจผิดหรือพันธุ์ข้าวอะไรที่คล้าย

แหล่งข่าวโรงสีอีกรายให้ความเห็นว่า ตอนนี้ข้าวพันธุ์ กข.79 มันทับซ้อนกับข้าวหอมมะลิ แยกไม่ออก ดูกายภาพคล้ายกันมาก ถ้าราคาดีมีปลอมปนแน่ ข้าวเปลือกเจ้าจากขาวพื้นนุ่ม ตันละ 8,200-8,300 บาท ข้าวหอมมะลิ ตันละ 13,000 บาท

ขณะที่ตัวแทนโรงสีจาก จ.สุรินทร์ให้ความเห็นว่า ข้าวพื้นนุ่มเป็นปัญหากับเรา แต่รัฐก็ต้องการข้าวไปส่งออก พยายามส่งเสริมเพราะมีตลาดฟิลิปปินส์รองรับ ข้าวขาวพื้นนุ่มราคาถูก หากสนับสนุนจะทำให้ไทยมีพันธุ์ข้าวที่หลากหลายมากขึ้น ฉะนั้น เราต้องแบ่งโซนเช่นว่า อีสานทำข้าวหอมมะลิพรีเมี่ยม ไม่ทิ้งเอกลักษณ์เรา

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 27 ก.ย. 2563

อนาคตข้าวและชาวนาไทยในภาวะถดถอย

FarmerinCrisis

ช่วงกลางเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ของปี ภายหลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จไม่นาน ชาวนาในอดีตจะมีประเพณีและความเชื่อเรื่องการ “กินข้าวใหม่” ซึ่งมีนิยามหมายถึงการเฉลิมฉลองและขอบคุณธรรมชาติที่ประทานข้าว ปลา อาหารมาให้ ด้วยการนำข้าวใหม่ไปทำบุญ ทำกิน ทำทาน แบ่งปัน พักผ่อนและมีความสุข หลังจากที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยมายาวนาน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าปัจจุบันประเพณีเหล่านี้ได้สูญหายไปจากสังคมชาวนาไทยส่วนใหญ่เสียแล้ว เนื่องจากรูปแบบการทำนาสมัยใหม่ที่เน้นการผลิตข้าวเพื่อการค้าเป็นสำคัญ เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ ต้องรีบขายข้าวให้โรงสี นำเงินไปจ่ายค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าหนี้ และซื้อข้าวกิน ซึ่งวิถีการผลิตรูปแบบนี้เกิดขึ้นนับตั้งแต่ยุคปฏิวัติเขียวกว่า 5 ทศวรรษที่ผ่านมา

วิถีการทำนาสมัยใหม่ไม่เพียงทำให้ประเพณีเกี่ยวกับข้าวของชาวนาสูญหายไป แต่หายไปพร้อมกับคุณค่าวัฒนธรรมที่หล่อเลี้ยงชีวิต จิตวิญญาณของผู้คน รวมถึงรากฐานทรัพยากรและภูมิปัญญาเดิมที่สั่งสมมา อย่างไรก็ตามเราคงหวนกลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้แล้ว เพราะวิถีการผลิตและวิถีชีวิตเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่อยากชวนมองไปสู่อนาคตและความยั่งยืนร่วมกัน เพราะปัจจุบันมีหลายสัญญาณบ่งชี้ว่าทิศทางการผลิตข้าวที่เน้นการปลูกข้าวไม่กี่สายพันธุ์เพื่อการส่งออกกำลังเดินสู่เข้าสู่ภาวะถดถอยและร่วงโรยมากขึ้นเรื่อย ๆ

สัญญาณบ่งชี้ว่าข้าวไทยอยู่ในภาวะถดถอยมายาวนาน นั่นคือ หนึ่ง การส่งออกข้าวปรับตัวลดลง ส่วนแบ่งตลาดข้าวไทยในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงมาตั้งแต่ปี 2547 และอยู่ระดับต่ำสุดในรอบ 47 ปี ในปี 2563 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 12.6  สอง ผลประกอบการขาดทุนเพิ่มขึ้น ความสามารถในการทำกำไรในอุตสาหกรรมข้าวมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2552 สะท้อนจากสัดส่วนผู้ประกอบการธุรกิจสีข้าวที่ขาดทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 12.7 ในปี 2552 มาอยู่ที่ร้อยละ 25.2 ในปี 2563  สาม ภาระหนี้สินของครัวเรือนชาวนาเพิ่มขึ้น นับตั้งแต่ปี 2552 สะท้อนจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในภาคอีสานซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่ปลูกข้าว ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 33.8 ในปี 2552 มาอยู่ที่ร้อยละ 77.6 ในปี 2563 (ที่มา : EIC ธนาคารไทยพาณิชย์)

ในขณะที่รัฐบาลยังคงมีทิศทางนโยบายหลักในการค้ำยันอุตสาหกรรมข้าวที่กำลังเดินสู่ภาวะถดถอยนี้ต่อไปเรื่อย ๆ รอบ 3 ปีที่ผ่านมา (2562-2564) รัฐบาลได้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลให้กับโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวรวมกว่า 160,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 21,000 ล้านบาท ปีการผลิต 2563/64 จำนวน 50,600 ล้านบาท และปีการผลิต 2564/65 ราคาข้าวตกต่ำอย่างหนัก ทำให้รัฐต้องจ่ายเงินส่วนต่างเพิ่มขึ้น จำนวน 89,000 ล้านบาท (ยังไม่รวมโครงการคู่ขนานอีกกว่า 50,000 ล้านบาท)

นับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19 สถานการณ์หนี้สาธารณะของประเทศที่เพิ่มขึ้น ภาครัฐได้ขยายเพดานหนี้สาธารณะจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 35 เราคงไม่สามารถนำเงินจำนวนมหาศาลไปใช้กับนโยบายแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบนี้ได้เรื่อยๆ เราต้องหันกลับมาสรุปทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ศึกษาเรียนรู้จากของเดิมว่าผิดพลาดตรงไหน และปรับตัวหาทิศทางใหม่

การสรุปและทบทวนจากจุดเริ่มต้นเพื่อฟื้นฟูคุณค่าของข้าวและคุณภาพชีวิตชาวนา คือการฟื้นคุณค่าไปสู่มูลค่า ชาวนาจะปลูกข้าวต้องมองถึงคุณค่า การเพิ่มมูลค่าการตลาด การเพิ่มสตอรี่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับคุณภาพโดยตรง แต่เกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นมา การเชื่อมโยงอดีต และการพัฒนารูปแบบตลาดใหม่   ประการที่หนึ่ง คือ การฟื้นเรื่องราวสตอรี่ของข้าว แม้เทศกาลกินข้าวใหม่จะหายไป แต่เรื่องราวยังเหลืออยู่และให้ความสำคัญในการฟื้นฟูฐานทรัพยากรและรากฐานภูมิปัญญาเดิมที่ยังเหลืออยู่ ประการที่สอง แม้เราจะเปลี่ยนวิถีรูปแบบการทำนา แต่สายพันธุ์ข้าวดั้งเดิมก็ยังเหลืออยู่ ซึ่งเป็นฐานทรัพยากรความหลากหลายที่สำคัญในการพัฒนา ตัวอย่างเช่น ข้าวหอมมะลิแดง มีคุณสมบัติเป็นข้าวน้ำตาลต่ำ และมีการนำไปวิจัยพบคุณสมบัติในการเป็นเซรั่มเครื่องสำอาง นี่คือหนทางที่สามารถพัฒนาได้

ประการที่สาม การฟื้นคุณค่าของข้าว ความหอม รสชาติ การมาใช้ในโลกยุคใหม่ที่คนไทยกินข้าวน้อยลง ในอดีตคนไทยกินข้าว 170 กก.ต่อคนต่อปี เหลือ 95 กก.ต่อคนต่อปี กรณีตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นกินข้าวน้อยลงเกือบเท่าตัว แต่ปรากฎการณ์คือ ชาวนาญี่ปุ่นผลิตข้าวได้เพิ่มขึ้น ราคาดีขึ้น เนื่องจากทิศทางการผลิตข้าวเพื่อแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่ได้ผลิตเป็นข้าวสารแบบในอดีต แต่ผลิตเพื่อกินเป็นยา แปรรูปเป็นขนม และเครื่องสำอาง เป็นต้น  

นั่นคือทิศทางและข้อเสนอการพัฒนาเศรษฐกิจและตลาดข้าวเพื่อหลุดออกจากภาวะถดถอยของการตลาดข้าวในปัจจุบัน ด้วยการพัฒนาคุณค่าข้าวตลาดเฉพาะ (Niche Market) การพัฒนาข้าวตลาดเฉพาะ ได้แก่ ข้าวอินทรีย์ ข้าวสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ข้าวสี ข้าวโภชนาการสูง เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อปี แต่ยังเป็นสัดส่วนน้อยมากเพียงร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับปริมาณการส่งออกข้าวทั่วไป ทำอย่างไรจะพัฒนาข้าวตลาดเฉพาะเหล่านี้ให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น โดยไม่ควรทำเพื่อการค้าอย่างเดียว แต่ทำภายใต้ระบบการปลูกที่คำนึงถึงคุณภาพชีวิต คนปลูก คนกิน เพื่อวิถีการบริโภคและวัฒนธรรม ทำให้เรามีสิ่งแวดล้อมดีขึ้น มีความมั่นคงทางอาหารมากขึ้น

ที่มา : ไทยโพสต์ วันที่ 25 ม.ค. 2565

ผู้เขียน : อารีวรรณ คูสันเทียะ

 

logo footer 
มูลนิธิชีวิตไท  (Local Act)  
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 090-178-7508  E-mail :  localact@localact.org

ติดตามเราได้ที่ facebook youtube

ผู้เข้าชม

9509032
วันนี้
เมื่อวานนี้
สัปดาห์นี้
เดือนนี้
ทั้งหมด
2927
4863
31586
77371
9509032

Your IP: 216.73.216.35
2025-06-12 15:01
Visitors Counter