กรณีที่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ “บก.ลายจุด” รับซื้อข้าวจากชาวนาในราคาเกวียนละ 15,000 บาท ซึ่งลักษณะเดียวกับโครงการรับจำนำข้าว เพื่อนำมาจำหน่ายโดยใช้ชื่อว่า “ข้าวลายจุด” ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ในราคาถุงละ 200 บาท
โดยหลังจากออกวางจำหน่ายได้ไม่นาน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นว่า "ข้าวลายจุด" นั้น เป็นจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์การเมือง และมองว่าการขายข้าวทุกชนิดทุกพันธุ์ในราคาเกวียนละ 15,000 บาท เป็นไปไม่ได้ เพราะจะทำให้กลไกตลาดได้รับความเสียหาย
กระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา นายสมบัติได้ประกาศหยุดผลิตและจำหน่ายข้าวลายจุชั่วคราว ด้วยเหตุผลว่าต้องการยกระดับมาตรฐานในเชิงพาณิชย์มากขึ้น ในขณะที่หลายฝ่ายให้ความเห็นว่า เป็นเพราะ "ขาดทุน" เสียมากกว่า
เพื่อคลายข้อสงสัยก่อนปิดฉาก "ข้าวลายจุด" เวอร์ชั่นแรก นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงกระเด็นข้างต้น โดยระบุว่า"ข้าวสาร ลายจุด" กำลังดัง "พานทองแท้" เลยขอเกาะกระแส สัมภาษณ์ บก.ลายจุด ด้วยตัวเองเลยครับ..!!
พี่หนูหริ่ง(สมบัติ บุญงามอนงค์) หรือที่หลายคนเรียกว่า บก.ลายจุด ได้เปิดใจถึงเหตุผลที่รับซื้อข้าวจากชาวนาเกวียนละ 15,000บาท ไว้อย่างน่าสนใจดังนี้
ตั้งแต่คสช.เข้ามาปกครองประเทศ ตนเองถูกจับกุมตัวไปปรับทัศนคติ ถูกอายัดบัญชีธนาคาร ทำให้ไม่สามารถเบิกเงินออกมาใช้ได้ ตนเป็นหัวหน้าครอบครัว ซึ่งมีอีกหลายชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ จำเป็นต้องประกอบอาชีพเพื่อมาหาเลี้ยงครอบครัว
ในฐานะที่ตนเองเป็น NGO ทำงานเพื่อสังคมมาโดยตลอด เมื่อจะหารายได้จากการค้าขาย จึงคิดที่จะขายของที่เป็นการช่วยเหลือสังคมไปด้วย เมื่อทราบว่าปัจจุบันพี่น้องชาวนายากลำบาก ขายข้าวไม่ได้ราคา เมื่อลองศึกษาดูโครงสร้างราคาข้าว พบว่าชาวนาซึ่งเป็นผู้ที่เหนื่อยยาก ลำบากที่สุดในวงจรการผลิตข้าว กลับเป็นผู้ที่ถูกพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบ แทบไม่เหลือกำไรจากการปลูกข้าวเลย เมื่อคิดจะขายข้าวบก.ลายจุดจึงได้คำนวนราคาซื้อ-ขายข้าว ออกมาแบบนี้ครับ...
ถ้าตนซื้อข้าวจากชาวนาตันละ 15,000 บาท
นำมาสีเป็นข้าวขาวมีค่าใช้จ่ายตันละ 1,100 บาท
จะได้ข้าวสารมาขายทั้งสิ้น 460 กิโล
ที่เหลือเป็น ปลายข้าว แกลบ และรำข้าว ซึ่งขายรวมๆ กันได้ 3,500 บาท
เท่ากับตนได้ข้าวสารมา 460กิโล
ด้วยต้นทุน 15,000 + 1,100 - 3,500 = 12,600บาท
นำมาบรรจุถุง ถุงละ5กิโล คิดค่าใช้จ่ายรวมค่าขนส่งทั้งสิ้นถุงละ 10บาท(ตกกิโลละ2บาท) รวมเป็นต้นทุนการผลิต 13,520 บาท
เมื่อนำข้าวมาขายถุงละ200 บาท จะได้เงิน 18,400 บาท
คงเหลือเป็นกำไร 18,400 - 13,520 = 4,880บาท
บก.ลายจุดบอกว่ากำไร เกือบ 5,000บาทต่อข้าวเปลือก 1เกวียน ตนก็อยู่ได้สบายๆแล้ว จะต้องไปเบียดเบียนชาวนา ด้วยการกดราคาทำไม แต่ในระบบค้าข้าวที่รัฐบาลไม่ช่วยเหลือชาวนานั้น พ่อค้าคนกลางได้กำไรเกิน10,000 บาท ในขนะที่ชาวนาผู้ยากลำบาก เหลือกำไรเกวียนละไม่กี่ร้อย บางครั้งถึงกับขาดทุน
การค้าขายแบบที่ บกลายจุดทำนี้ ในประเทศที่เจริญแล้วเค้าเรียกว่า Fair Trade ครับ เค้าจะระบุเลยว่าสินค้าตัวนี้ ซื้อจากชาวไร่ชาวนา มาในราคาที่เป็นธรรมเท่านี้ๆ และนำมาขายให้ผู้บริโภคราคานี้ เมื่อคำนวนออกมา เงินกำไรที่ได้จะกระจาย ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงมือผู้บริโภคอย่างเป็นธรรม นอกจากภาครัฐไม่ควรขัดขวางแล้ว ยังควรจะต้องสนับสนุนให้มีการค้าขายแบบ Fair Trade นี้เยอะๆเลยด้วยซ้ำ
สุดท้าย พี่หนูหริ่ง ฝากมาว่า
รัฐบาลควรจะคืนความสุขให้กับชาวไร่ชาวนา
ด้วยการไปไล่จับคนที่กดราคาสินค้าเกษตรให้ตกต่ำ
มากกว่ามาไล่จับ คนที่ให้ราคาที่เป็นธรรม แบบนี้นะครับ
ที่มา : มติชน วันที่ 20 เม.ย. 2558
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.