นราธิวาส - สุดทน!! ตัวแทนชาวบ้านใน จ.นราธิวาส กว่า 500 คน รวมตัวประท้วงสาเหตุจากมีการประกาศพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติทับที่ทำกินชาวบ้าน จำนวนกว่า 9 หมื่นไร่ ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยื่นคำขาด 30 วันเร่งแก้ปัญหา พร้อมยกกระแสพระราชดำรัส “อย่านำกฎหมายมาทำร้ายชาวบ้านผู้บริสุทธิ์”
วันนี้ (25 ม.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ณ ลานสนามมัสยิดซีอารุดดีน บ้านมาแฮ ม.11 ต.ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ได้มีตัวแทนชาวบ้าน จำนวนกว่า 500 คน ที่ถือครอง น.ส.3 ก. โฉนดที่ดิน และหนังสือใบอนุญาตเหยียบย่ำที่ดินปี 2472 ซึ่งออกให้สมัย อ.บาเจาะ จ.สายบุรี ซึ่งส่วนใหญ่มีที่ดินทำกินอยู่บริเวณแนวเทือกเขาบูโด-สุไหงปาดี จนต่อมาปี 2542 ได้มีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติทับที่ดินทำกินของชาวบ้าน จำนวน 96,216 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 24 ตำบล 9 อำเภอ 3 จังหวัด คือ นราธิวาส ยะลา และปัตตานี
ซึ่งส่งผลให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนทั้งหมด 6,985 ครัวเรือน จึงได้มีการจัดเวทีสร้างความเข้าใจกรณีการตัดโค่นต้นยางพาราที่หมดอายุเพื่อปลูกทดแทนด้วยยางพันธุ์ดี ซึ่งผ่านมา 6 รัฐบาล เรื่องดังกล่าวยังไม่มีรัฐบาลใดเข้ามาแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านที่ถือครองที่ดินได้รับความเป็นธรรม เมื่อต้นยางพาราแก่หมดอายุ ชาวบ้านได้ไปใช้สิทธิขอสงเคราะห์ต่อ สกย. แต่ได้รับการปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า ที่ดินทำกินของชาวบ้านทับซ้อนกับเขตอุทยานแห่งชาติและป่าสงวน
ซึ่งในวันนี้มี นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต. นายอำเภอบาเจาะ ผู้แทนสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 สำนักงานกองทุนสงเคราะห์ยางพารา ผู้แทนอุทยานแห่งชาติ และผู้ที่เกี่ยวข้องได้เดินทางมาร่วมกิจกรรมเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับกรณีที่ทำกินของชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการรับมรดกตกทอดมาเป็นรุ่นๆ แต่เขตอุทยานแห่งชาติและป่าสงวน มาประกาศทับที่ดินทำกินของชาวบ้าน ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยเอกสาร
โดยนายดือราแม ดาราแม ประธานที่ปรึกษาเครือข่ายชุมชนแก้ไขปัญหาที่ดินบนเทือกเขาบูโด-สุไหงปาดี ได้นำกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กล่าวเป็นภาษามลายูท้องถิ่นให้ตัวแทนพี่น้องประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมได้รับทราบพอสรุปใจความว่า อย่าไปจำกัดสิทธิข้อกฎหมายทำให้ชาวบ้านหาทางออกตามข้อกฎหมายไม่ได้ กฎหมายคือกฎหมาย แต่ถ้าเที่ยงตรงเกินไปกฎหมายก็จะทำร้ายชาวบ้านบริสุทธิ์
โดยการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ชาวบ้านให้เวลา 30 วัน ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องนำไปแก้ไขปัญหา เพราะปัจจุบันมีที่ดินทำกินปลูกต้นยางพาราเป็นส่วนใหญ่ แต่ต้องไปรับจ้างกรีดยางพาราของบุคคลอื่น เพราะของตัวเองยางหมดอายุจะไปโค่นก็ไม่ได้ เพราะโค่นไปแล้ว สกย.ก็ไม่อนุญาตให้ทำการสงเคราะห์ แต่หาก 30 วัน ไม่มีคำตอบจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ชาวบ้านก็จะรวมตัวเพื่อกดดันอีกครั้ง ซึ่งเป้าหมายคือ การโค่นต้นยางพาราที่สามารถกระทำได้ในปริมาณ 1 ใน 4 ของพื้นที่ ซึ่งถือว่าไม่เป็นการทำร้ายธรรมชาติ
และต่อมาเป็นกิจกรรมที่ปิดท้ายในครั้งนี้ คือ การเดินทางขึ้นไปตัดต้นยางพาราซึ่งมีอายุ 96 ปี ของ นายมะดือเร๊ะ เย๊ะตูแก ที่ถือครองใบอนุญาตเหยียบย่ำที่ดินทำกิน ซึ่งออกสมัย อ.บาเจาะ จ.สายบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2472 บนเทือกเขาบูโด-สุไหงปาดี ซึ่งมีอายุยาวนานกว่าการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติซึ่งมีขึ้นเมื่อปี 2542 เพื่อเป็นการทวงคืนความเป็นธรรมในสิทธิที่ดินทำกิน ที่ชาวบ้านได้เสนอเรื่องความเดือดร้อนให้รัฐบาลที่ผ่านมา 6 สมัย แต่ไม่มีรัฐบาลไหนเข้าไปแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านเลย รวมไปถึงการกระทำตามมติ ครม.วันที่ 14 ตุลาคม 2551 ที่ระบุว่า ผู้ที่ถือครองที่ดินทำกินสามารถทำประโยชน์ในพื้นที่ที่ถือครองได้
ด้านนายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวาว่า เรื่องดังกล่าวตนขอยืนยัน 30 วัน กฤษฎีกาคงมีคำตอบ เพราะตนได้มีการบอกกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างตนรับรองว่าพี่น้องประชาชนต้องได้ตามความต้องการ เพราะเรื่องของเทือกเขาบูโด-สุไหงปาดี ทับที่ดินทำกินของชาวบ้าน ต้องทำให้แล้วเสร็จในปี 2558 ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี ท่านก็ได้กำชับมาให้แล้วเสร็จโดยเร็วตามที่ตนได้เสนอไป
ที่มา : ASTV ผู้จัดการ วันที่ 25 ม.ค. 2558