(รายงาน) นักวิชาการชี้แก้"ความเหลื่อมล้ำ" ใช้ระบบภาษี-ออกกฎหมายสกัดผูกขาด
วานนี้ (11 พ.ย.) สมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์จัดสัมมนาในหัวข้อ “ก้าวข้ามความเหลื่อมล้ำเศรษฐกิจไทย” โดยเสวนาหัวข้อ “ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ทุน คน ที่ดิน” นักวิชาการหนุนแก้กฎหมายลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ มีประเด็นดังนี้
น.ส.ปัทมาวดี โพชนุกูล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่าหากมองความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของคนไทยผ่านการถือครองที่ดินจะสามารถเห็นความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนได้ระดับหนึ่งเนื่องจากปัจจุบันการถือครองที่ดินส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนไม่เกิน 20% ที่ถือครองที่ดินมากถึง 80% ของที่ดินทั้งหมดของประเทศ
นอกจากนี้หากมีการคำนวณจากมูลค่าที่ดินจะพบว่าที่ดินที่มีมูลค่าสูงโดยเฉพาะการถือครองที่ดินในเมืองใหญ่จะยิ่งกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนจำนวนหนึ่งขณะที่ระดับรากหญ้าหรือคนด้อยโอกาสที่อยู่ในเมืองจะอยู่ในฐานะผู้เช่า รวมทั้งในภาคเกษตรก็มีความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินเช่นกันเห็นได้จากการถือครองที่ดินของชาวนาพบว่าปัจจุบันครอบครัวของชาวนา 75% ถือครองที่ดินเพียง 48% ของพื้นที่ทำนาทั้งหมด
ขณะที่ชาวนาที่มีที่ดินเกินกว่า 25 ไร่นั้นมีเพียง 17% ของครอบครัวชาวนาทั้งหมดเท่านั้นซึ่งการถือครองที่ดินขนาดเล็กส่งผลให้ต้นทุนในการเพาะปลูกนั้นสูงกว่าผู้ที่มีที่ดินขนาดใหญ่และมีโอกาสที่ชาวนาและเกษตรกรที่มีที่ดินขนาดเล็กจะถูกกดราคารับซื้อสินค้าเกษตรที่ไร่นามากกว่ารวมทั้งมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งทุน
น.ส.ปัทมาวดีกล่าวว่าแนวคิดเรื่องการจัดเก็บภาษีที่ดิน โดยที่รัฐบาลเตรียมที่จะเสนอร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาถือเป็นแนวคิดที่ดีในการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลจะใช้มาตรการทางภาษีในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและการกระจุกตัวของการถือครองที่ดิน
อย่างไรก็ตามการเก็บภาษีที่ดินในอัตราที่ต่ำเกินไปและไม่ใช้อัตราก้าวหน้าในการจัดเก็บตามมูลค่าที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้มาตรการทางภาษีจะไม่ส่งผลในการกระจายการถือครองที่ดินเนื่องจากคนที่มีฐานะดี มีเงินจำนวนมากก็จะยังสามารถซื้อขายที่ดินตามความต้องการได้ด้วยการให้ราคาที่สูง โดยเฉพาะการซื้อขายในพื้นที่ต่างจังหวัดบริเวณชายแดนที่ปัจจุบันมีการซื้อขายที่ดินในราคาสูงมากเนื่องจากเก็งกำไรทิศทางราคาที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต นอกจากนั้นรัฐบาลต้องระวังผลกระทบจากการเก็บภาษีที่ดินอาจผลักภาระไปให้ผู้เช่าที่ดินได้
“การเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนับเป็นแนวคิดที่ดีแต่ต้องทำด้วยความรอบคอบโดยต้องดูว่าการเก็บภาษีจากเจ้าของที่ดินจะส่งผลกระทบต่อผู้เช่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างหรือไม่ เพราะเจ้าของทรัพย์สินทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอาจจะผลักภาระให้กับผู้เช่าซึ่งทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำมากขึ้น”
สำหรับแนวทางในการแก้ปัญหา เสนอว่ารัฐบาลควรดำเนินการในการสนับสนุนการจัดตั้งกองทุนที่ดิน โดยการดำเนินการของชุมชนและองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เพื่อส่งเสริมนโยบายการรวบรวมที่ดินหรือการใช้ประโยชน์ที่ดินร่วมกันในชุมชนเพื่อวางแผนการใช้ประโยชน์ในที่ดินที่มีอยู่ให้มีประโยชน์สูงสุด โดยรูปแบบของกองทุนให้มีความยืดหยุ่นและแตกต่างตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ส่วนที่ดินที่อยู่ในการดูแลของรัฐเช่นที่ราชพัสดุก็ควรมีนโยบายในการส่งเสริมให้นำพื้นที่ซึ่งรัฐไม่ได้ใช้ประโยชน์ในปัจจุบันไปจัดสรรให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อยได้ใช้ประโยชน์มากขึ้น
เตือนกระทบคนรายได้น้อย
นายสกนธ์ วรัญญูวัฒนา คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวว่าการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ต้องคำนึงถึงผู้มีผลกระทบในวางกว้างโดยเฉพาะคนจนผู้มีรายได้น้อยที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ โดยในหลักการจะต้องดูความเหมาะสมว่าจะพิจารณาจากสัดส่วนของมูลค่าทรัพย์สิน หรือขนาดของทรัพย์สินหรือคำนวณโดยเริ่มอัตราต่ำ เพราะที่ดินในเมืองใหญ่กับในต่างจังหวัดก็จะมีมูลค่าต่างกัน
นอกจากนี้การเก็บภาษีที่ดินกับภาษีโรงเรือน สิ่งปลูกสร้างอาจต้องแยกจากกันเพื่อให้เกิดความเหมาะสมในการจัดเก็บเพราะภาษีโรงเรือนสามารถจัดเก็บตามประเภทกิจการขณะที่ภาษีที่ดินจัดเก็บได้กว้างกว่า เช่น สามารถใช้เป็นกลไกสำคัญในการใช้เป็นเครื่องมือจัดทำโซนนิ่งปลูกพืชเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อให้ที่ดินเกิดประโยชน์ในเชิงนโยบายในอนาคต
จี้แก้กฎหมายลดความเหลื่อมล้ำธุรกิจ
นางเดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการด้านบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่าความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยไม่ได้มีเพียงความเหลื่อมล้ำระหว่างประชาชนเท่านั้น แต่ความเหลื่อมล้ำในระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่กับรายเล็กก็ยังมีแนวโน้มที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจากการศึกษารายได้ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพบว่าในปี 2548 รายได้ของบริษัทขนาดใหญ่ 20 รายแรกมีสัดส่วนรายได้สูงถึง 83% ของรายได้บริษัททั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์
ขณะที่ในปี 2556 รายได้ของบริษัทขนาดใหญ่ 20 รายแรกมีรายได้รวมเพิ่มเป็น 94% ขณะที่รายได้ของผู้ประกอบการขนาดกลางมีรายได้ลดลงเหลือ 16% ในปี 2548 แต่รายได้ของบริษัทขนาดกลางลดลงเหลือ 10% ในปี 2556 ซึ่งนับว่าความเหลื่อมล้ำในภาคธุรกิจเริ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นางเดือนเด่นกล่าวต่อไปว่าจากการตรวจสอบลักษณะของกิจการขนาดใหญ่ที่มีรายได้รวมกันถึง 90% ในตลาดหลักทรัพย์พบว่าส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องแข่งขัน เป็นทุนที่เติบโตขึ้นมาในประเทศด้วยใช้สิทธิสัมปทาน ใช้อำนาจเหนือตลาด และอำนาจอื่นๆ เช่นอำนาจความเป็นมหาชน หรือเป็นธุรกิจที่มีการแตกบริษัทลูกจำนวนมาก นอกจากนั้นบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ของไทยยังเป็นบริษัทที่เป็นรัฐวิสาหกิจถึง 11% ซึ่งเป็นลักษณะที่แตกต่างกับบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศ
“การเติบโตขึ้นของทุนขนาดใหญ่ของไทยมีบริษัทจำนวนมากที่เติบโตขึ้นจากธุรกิจที่ไม่ต้องแข่งขัน หรือเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จด้วยกติกาหรือนโยบายของรัฐไม่ใช่ด้วยประสิทธิภาพของตัวเอง ซึ่งธุรกิจเหล่านี้บางรายยังมีการขยายธุรกิจให้ครบวงจรเพื่อสกัดกั้นการเข้ามาแข่งขันของรายเล็ก โดยจากการศึกษาพบว่าธุรกิจผูกขาดจะมีเปอร์เซ็นต์การเติบโตสูงกว่าบริษัทอื่นๆ 11%” นางเดือนเด่นกล่าว
นางเดือนเด่น กล่าวว่าประเทศไทยล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าโดยแม้จะมีการบังคับใช้กฎหมายชนิดนี้มานานกว่า 15 ปีแล้วแต่ในทางปฏิบัติยังไม่สามารถลงโทษผู้กระทำผิดได้ตามกฎหมายแม้แต่รายเดียว
แนะเร่งแก้คุณภาพการศึกษา
นายกนก วงษ์ตระหง่าน อดีตศาสตราจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยไม่สำเร็จเนื่องจากระบบการศึกษาที่ไม่ได้คุณภาพโดยการศึกษาของไทยมีการใช้งบประมาณจำนวนมากถึงปีละกว่า 5 แสนล้านบาท 25% ของงบประมาณในแต่ละปี แต่กลับใช้งบประมาณไปในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงปรุงพัฒนาคุณภาพการศึกษา เช่น การเพิ่มเงินเดือนให้ข้าราชการครูโดยการเพิ่มวิทยฐานะ โดยขณะนี้เงินเดือนโดยเฉลี่ยของครูอยู่ที่ 37,000 บาทต่อเดือน ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นมากในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
"ขณะนี้คุณภาพทางการศึกษาสวนทางเรียกได้ว่าขณะนี้อยู่ในภาวะวิกฤติซึ่งจะต้องมีรัฐมนตรีที่เป็นนักปฏิบัติลงมาแก้ปัญหาจริงจังเพราะการให้นโยบายและเสนอหลักการอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาได้"
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 12 พ.ย. 2557
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.