รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หากนำกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่มาใช้ โดยจัดเก็บอัตราภาษี เพียงครึ่งหนึ่งของอัตราตามเพดานที่กฎหมายกำหนด จะทำให้รัฐบาลท้องถิ่น มีรายได้มากกว่า 4 หมื่นล้านบาทต่อปี เมื่อเทียบกับในปัจจุบัน การจัดเก็บภาษีโรงเรือน และที่ดิน และภาษีบำรุงท้องที่ ทำรายได้ภาษีให้กับรัฐบาลท้องถิ่นรวมปีละประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อปีเท่านั้น ทั้งนี้ ร่างกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจะนำมาใช้แทน ถือเป็นกฎหมายที่ คสช.ให้ความสำคัญ เพราะ เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปภาษี เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในประเทศ
สำหรับ ร่างพรบ.ฉบับใหม่นี้ จะเป็นการปรับปรุงจากร่างเดิม ที่กระทรวงการคลัง เคยยกร่างมากแล้วในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยจะกำหนดเพดานภาษีตามกฎหมายให้สูงขึ้น เพราะหากกำหนดเพดานในอัตราที่ต่ำไป ในอนาคตเมื่อมีความจำเป็นต้องเพิ่มอัตราภาษี ก็จะต้องเสียเวลาในการยกร่าง เพื่อให้สภาอนุมัติ โดยเพดานภาษีใหม่ อาจกำหนดให้ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่ออยู่อาศัย และที่ดินเพื่อการเกษตร จัดเก็บในอัตรา ไม่เกิน 0.5 %, ที่ดินเชิงพาณิชย์ในอัตราไม่เกิน 1 % และที่ดินว่างเปล่าไม่ได้ทำประโยชน์ตามควร จัดเก็บในอัตราไม่เกิน 2%
ขณะที่ร่างเดิมที่เคยเสนอไว้นั้น กำหนดอัตราภาษีตามการใช้ประโยชน์ในที่ดิน โดยที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อการอยู่อาศัย จะจัดเก็บไม่เกิน 0.1% ของมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ,ที่ดินเพื่อการเกษตร จัดเก็บในอัตราไม่เกิน 0.05% และอัตราทั่วไป หรืออัตราที่จัดเก็บกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อประกอบธุรกิจจัดเก็บในอัตราไม่เกิน 0.5 %
แหล่งข่าวรายเดิม ยังกล่าวอีกว่า แนวคิดของพรบ.ใหม่ดังกล่าว ทำให้จัดเก็บภาษีการถือครองทรัพย์สินที่เป็นธรรมมากขึ้น เช่น กรณีภาษีบำรุงท้องที่ ที่มูลค่าที่ดินยิ่งสูง อัตราภาษียิ่งต่ำลง นอกจากนี้ยังกระตุ้นการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะที่ดินว่างเปล่า จะถูกจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยในการกระจายการถือครองที่ดิน เพื่อลดการกระจุกตัวของการถือครองที่ดินเพื่อการเก็งกำไร
ทั้งนี้ รายได้จากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะถือเป็นรายได้ส่วนหนึ่งของรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยลดภาระการจัดงบประมาณของรัฐบาลกลางให้กับรัฐบาลท้องถิ่น ตามกฎหมายกระจายรายได้ให้กับท้องถิ่น ที่ปัจจุบันกำหนดให้ท้องถิ่นต้องมีรายได้ (ที่มาจากการจัดเก็บเองของท้องถิ่น และที่รัฐบาลกลางจัดสรรมาให้) ในสัดส่วน 26-27%ของรายได้ของรัฐบาล
ที่มา : ASTV ผู้จัดการ วันที่ 30 ส.ค. 2557