นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค.จะเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณาออก พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การติดตามทวงถามหนี้อย่างเป็นธรรม เพราะเป็นกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับประชาชนจำนวนมาก เนื่องจากปัจจุบันพบว่ามีลูกหนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคลจำนวนมากถูกทวงหนี้ยังไม่เหมาะสมและไม่ให้เกียรติ
ทั้งนี้ พ.ร.บ.ทวงถามหนี้ฯ จะดำเนินการ โดยให้บริษัททวงหนี้เข้ามาลงทะเบียน ซึ่งกระทรวงการคลัง มีกฎระเบียบในการควบคุมดูแล เช่น ห้ามข่มขู่ หรือประจานลูกหนี้ ต้องทวงหนี้ในเวลาที่กำหนด หากทำผิดมีโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท จำคุก 1 ปี เป็นต้น
นอกจากนี้ สศค.จะเสนอ คสช. ออก พ.ร.บ. หลักประกันทางธุรกิจ ซึ่งจะเป็นกฎหมายสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อได้ มากขึ้น เพราะสามารถนำสินค้าคงคลังมาหลักประกันขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ จากปัจจุบันทำไม่ได้ เพราะสินค้าคงคลังไม่สามารถจดจำนองได้ รวมทั้ง ยังมี พ.ร.บ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่เสนอให้ คสช. เห็นชอบ เพราะเป็นกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับประเทศ จะเพิ่มรายได้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะลดภาระงบประมาณในการให้อุดหนุนกับ อปท. ทำให้ประเทศมีเงินเหลือเพื่อไปการลงทุนพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ มากขึ้น
สำหรับ สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ สศค. เคยศึกษาไว้จะมี 3 อัตรา ได้แก่ อัตราภาษีทั่วไปไม่เกิน 0.5% ที่อยู่อาศัยไม่เกิน 0.1% และที่เกษตรกรรมไม่เกิน 0.05% สำหรับที่ดินที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าใน 3 ปีแรก ให้เก็บภาษีไม่เกิน 0.5% หากยังไม่ทำประโยชน์อีกให้เสียเพิ่ม 1 เท่าในทุก 3 ปี แต่ไม่เกิน 2% โดยทาง อปท. แต่ละท้องถิ่นเป็นผู้เก็บไม่ใช่รัฐบาลกลาง
“สศค.จะผลักดันกฎหมายทวงถามหนี้เป็นธรรม กับ หลักประกันธุรกิจ ก่อนเป็นอันดับแรกเพราะเป็นประโยชน์กับประชาชนและธุรกิจ ส่วน พ.ร.บ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะดำเนินการต่อมา เพราะยังไม่เป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ก็ต้องมีความจำเป็นต้องดำเนินการ เพราะถือเป็นโอกาสดีที่ตอนนี้ คสช. มีอำนาจเต็มสามารถอนุมัติกฎหมายได้ทันที หากเป็นรัฐบาลปกติกฎหมายดังกล่าวผลักดันให้เกิดได้ยาก”
นอกจากนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คสช. ออกประกาศห้ามเจ้าหนี้ทวงหนี้ชาวนายังไม่เป็นธรรม และไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อรักษาความมั่นคง คสช. ประกาศว่าผู้ใดข่มขืนใจชาวนา ให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตน หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องยอมเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เนื่องจากพบว่ามีเจ้าหนี้นอกระบบไปตามทวงหนี้ชาวนาที่หน้าธนาคาร หรือยึดรถมอเตอร์ไซค์ และยึดบัญชีเงินฝากของชาวนาไว้
ข้อมูลจาก เดลินิวส์ออกไลน์ วันอาทิตย์ 1 มิถุนายน 2557
http://www.dailynews.co.th/Content/economic/241669/%E0%B8%AA%E0%B8%A8%E0%B8%84.%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%AD+%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B8%8A.%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2