นาย วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์ และนักวิจัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่าในอดีตภาคเกษตรมีความสำคัญต่อประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งเป็นแหล่งอาหาร แหล่งจ้างงาน แหล่งรายได้ให้กับประเทศจากการส่งออก การขยายตัวทางเศรษฐกิจในอดีตทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตร GDP ภาคเกษตรในปี 2563 คิดเป็นสัดส่วนเพียง 8.63% แต่ภาคการเกษตรถือเป็นแหล่งการจ้างงานที่สำคัญ 12.62ล้านคนและมีครัวเรือนในภาคเกษตร 8.06 ล้านครัวเรือน
ปัจจุบันเกษตรกรได้นำเครื่องจักรกลการเกษตรสมัยใหม่มาใช้มากขึ้น แต่การผลิตในภาคเกษตรไทยยังมีปัจจัยภายนอกอีกหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตของเกษตรกร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของครัวเรือนเกษตร รัฐบาลไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้ใช้นโยบายเกษตรในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การแทรกแซงราคาตลาด การส่งเสริมการเรียนรู้ การส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรเชิงพื้นที่ ส่งเสริมมาตรฐานสินค้าเกษตร เป็นต้น ซึ่งนโยบายต่างๆใช้งบประมาณในแต่ละปีจำนวนมาก
โครงการวิจัยและประเมินครั้งนี้ ได้หยิบยกผลกระทบของ 8 นโยบายสาธารณะที่หลากหลาย ต่อความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจของเกษตรกรไทย คือ 1. ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) 2. แปลงใหญ่ 3. การบริหารจัดการน้ำ 4. แผนการผลิตข้าวครบวงจร 5. Zoning by Agri-Map 6. ธนาคารสินค้าเกษตร 7. มาตรฐานสินค้าเกษตร GAP/ เกษตรอินทรีย์ และ 8. โครงการส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่
ในด้านต้นทุนการผลิต พบว่า โครงการแปลงใหญ่ ทำให้เกษตรกรมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 107,255 บาทต่อครัวเรือนต่อปี การบริหารจัดการน้ำ เพิ่มต้นทุน 219,458 บาทต่อครัวเรือนต่อปี Zoning by Agri-Map เพิ่มต้นทุน 278,962 บาทต่อครัวเรือนต่อปี ขณะที่แผนการผลิตข้าวครบวงจร ลดต้นทุน 24,586 บาทต่อครัวเรือนต่อปี ธนาคารสินค้าเกษตร ลดต้นทุน 112,857 บาทต่อครัวเรือนต่อปี ที่เหลือ ไม่พบว่าทำให้ต้นทุนของครัวเรือนเกษตรเปลี่ยนแปลง
ด้านรายได้สุทธิ การบริหารจัดการน้ำ เพิ่มรายได้สุทธิ 178,852 บาทต่อครัวเรือนต่อปี ขณะที่ แผนการผลิตข้าวครบวงจร ลดรายได้สุทธิ43,158 บาทต่อครัวเรือนต่อปี Zoning by Agri-Map ลดรายได้สุทธิ 32,976 บาทต่อครัวเรือนต่อปี ธนาคารสินค้าเกษตร ลดรายได้สุทธิ125,568 บาทต่อครัวเรือนต่อปี ส่วนที่เหลือ ไม่พบว่าทำให้รายได้สุทธิของครัวเรือนเกษตรเปลี่ยนแปลง
เมื่อนำรายได้สุทธิมาเฉลี่ยกับ 8.06 ล้านครัวเรือน พบว่าเกษตรกรที่เข้าถึงโครงการการบริหารจัดการน้ำ 26.23% สร้างเพิ่มมูลค่าได้ 378,221 ล้านบาทต่อปี แผนการผลิตข้าวครบวงจร 3.4 ล้านครัวเรือน มีมูลค่าลดลง 150,959 ล้านบาทต่อปี Zoning by Agri Map ที่เกษตรกรเข้าถึงโครงการ 1.80% มีมูลค่าลดลง 4,785 ล้านบาทต่อปี และ ธนาคารสินค้าเกษตร ที่เกษตรกรเข้าถึงโครงการ 4.129% มีมูลค่าลดลง 41,790 ล้านบาทต่อปี
และมูลค่าผลกระทบจากทั้ง 8 นโยบาย เท่ากับ180,686.25 ล้านบาทต่อปี เมื่อนำมาหักลบงบประมาณที่ใช้จ่ายตลอด 3ปี 8 นโยบายสร้างมูลค่าผลกระทบเชิงบวกรวม 106,908 ล้านบาทต่อปี แต่ทั้งหมดจะพบว่าเกิดขึ้นจากนโยบาย การบริหารจัดการน้ำเท่านั้น ดังนั้นควรพิจารณาหาแนวทางปรับปรุงนโยบายอื่นๆ ให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งนโยบายเกษตรช่วยลดภาระหนี้สินของครัวเรือนเกษตรน้อยมาก สะท้อนให้เห็นความสำคัญของทรัพยากรน้ำในการยกระดับสถานะทางเศรษฐกิจของเกษตรกร และควรส่งเสริมการขยายแหล่งน้ำนอกเขตชลประทานมากขึ้น
ร่วมกับการทำเกษตรผสมผสานที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในระดับความเสี่ยงเดียวกับเกษตรเชิงเดี่ยวโดยเฉพาะครัวเรือนที่ปลูกข้าว ให้เงินช่วยเหลือต้องมีเงื่อนไขเพื่อพัฒนาคุณภาพสินค้า รวมทั้งสร้างแรงจูงใจเกษตรกรวัยหนุ่มสาวเข้าร่วมโครงการ
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 30 ส.ค. 2564
ผู้เขียน : ยุพิน พงษ์ทอง
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.