แล้งหนักกระทบผลผลิตข้าวนาปรังวูบกว่า 50% จาก 8 ล้าน เหลือ 4 ล้านตัน กรมการค้าภายในชี้วิกฤติเป็นโอกาสคาดได้เห็นข้าวเปลือกเจ้าขยับเป็นตันละ1 หมื่น ข้าวเหนียว-หอมมะลิราคายังดี ผู้ส่งออกกุมขมับตลาดนับวันยิ่งถดถอย
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าสถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ ส่งผลกระทบต่อการปลูกข้าวของชาวนา โดยเฉพาะข้าวนาปรังที่คาดว่าผลผลิตจะลดลงจากปีก่อนที่ผลิตได้ประมาณ 8 ล้านตันข้าวเปลือก ปีนี้จะลดลงเหลือ 3.5-4 ล้านตัน หรือลดลงกว่า 50% แต่ทั้งนี้จะส่งผลดีต่อชาวนาจะขายข้าวได้ราคาดีขึ้น โดยข้าวเปลือกเจ้าราคา ณ ปัจจุบันประมาณ 8,000 บาทต่อตัน คาดน่าจะได้เห็นถึงตันละ 9,000-10,000 บาท ในช่วง 2-3 เดือนนับจากนี้ ส่วนข้าวเปลือกหอมมะลิและข้าวเปลือกเหนียวยังมีราคาสูงต่อเนื่อง โดยข้าวเปลือกเหนียว ณ เวลานี้เฉลี่ยที่ 16,000-17,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,000 บาทต่อตัน
“แต่ที่น่าเป็นห่วงคือการส่งออกข้าวไทยอาจจะส่งออกได้ยากขึ้น เนื่องจากราคาข้าวของไทยมีราคาสูงขึ้น จากค่าเงินบาทที่ยังผันผวนในทิศทางแข็งค่าต่อเนื่อง”
ด้านนายชูเกียรติโอภาสวงศ์นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยกล่าวว่าการส่งออกข้าวในปีนี้จะเหนื่อยกว่าทุกปีสาเหตุหลักๆคือค่าบาทที่ยังแข็งค่าต่อเนื่องส่งผลให้ราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่งอาทิข้าวขาว5% ของเวียดนาม (เอฟโอบี) เวลานี้อยู่ที่360 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตันขณะที่ข้าวไทยอยู่ที่420 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตันทำให้ไทยขายข้าวได้ยากขึ้นรวมไปถึงสถานการณ์ภัยแล้งที่ปีนี้น่าจะรุนแรงกว่าปีก่อนอาจส่งผลให้ผลผลิตข้าวลดลงคาดการส่งออกข้าวไทยปีนี้น่าจะอยู่ที่7 ล้านตัน
“ปัจจัยบวกในปีนี้แทบจะไม่มีโดยเฉพาะข้าวจีทูจี เพราะประเทศผู้นำเข้าไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ต่างชะลอการนำเข้าข้าว ในขณะที่จีนก็หันมาเป็นผู้ส่งออกเอง ยิ่งทำให้ตลาดข้าวถูกแย่งไปมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการหาตลาดใหม่ เอกชนอาจจะหันมาเจาะตลาดข้าวหอมปทุมธานีซึ่งเป็นตลาดล่างของข้าวหอมมะลิให้มากขึ้น ขณะที่ความหวังฟื้นตลาดข้าวอิรักที่ก่อนหน้านี้กรมการค้าต่างประเทศมีแผนจะไปลงนามเอ็มโอยูเพื่อให้เขาเกิดความเชื่อมั่นคุณภาพข้าวไทยและกลับมาซื้อ คงต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะอิรักอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล”
ที่มา : หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,539 วันที่ 12-15 มกราคม 2563