ชี้ขั้นตอนสมัครไม่ยุ่งยาก-เกษตรกรสนใจรวมกลุ่มบริหารจัดการเพาะปลูกหวังเพิ่มผลผลิต-ลดต้นทุน 20%
นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) เปิดเผยว่า รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายการดำเนินงานการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จำนวน 14,500 แปลง ในพื้นที่ 90 ล้านไร่ หรือ 60% ของพื้นที่ทำการเกษตรทั่วประเทศ โดยในปี 2560 มีเกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการแล้ว จำนวน 1,512 แปลง ในพื้นที่ 2.6 ล้านไร่ หรือ 20% ของพื้นที่ทำการเกษตรทั่วประเทศ และตั้งเป้าหมายในปี 2561-64 ที่ 7,000 แปลงในพื้นที่ 30 ล้านไร่ หรือ 20% ของพื้นที่ทำการเกษตรทั่วประเทศ ปี 2565-69 เป้าหมาย 9,500 แปลง พื้นที่ 45 ล้านไร่ หรือ 30% ของพื้นที่ทำการเกษตรทั่วประเทศ และจะครบตามเป้าหมาย 14,500 แปลง ในปี 2570-79
“การสมัครเข้าร่วมโครงการแปลงใหญ่ไม่ใช่เรื่องที่ยาก ที่ผ่านมาเกษตรกรจำนวนมากที่ต้องการปรับเปลี่ยนวิธีทำการเกษตร และสนใจเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ล่าสุดเพียงปีนี้ปีเดียว (ปี 2561) มีกลุ่มเกษตรกรมากกว่า 3 พันแปลง สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ”
นายสมชาย กล่าวว่า สำหรับหลักในการดำเนินการส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่นั้น จะมีการกำหนดขนาดพื้นที่การผลิตเพื่อให้คุ้มต่อการลงทุน มีการคัดเลือกกลุ่มเกษตรกรที่มีการดำเนินการในรูปแบบกลุ่มอยู่ก่อนแล้ว อาทิ สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน มีแหล่งน้ำชัดเจน ปริมาณน้ำเพียงพอ การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับพื้นที่ กำหนดเป้าหมายและแผนปฏิบัติงาน หรือแผนธุรกิจที่ชัดเจนและแผนปฏิบัติงาน หรือแผนธุรกิจที่ชัดเจน รวมถึงแผนธุรกิจพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรที่เหมาะสม และมีตลาดรองรับ
เกณฑ์ในการกำหนดพื้นที่แปลงใหญ่ คือต้องเป็นพื้นที่อยู่ชุมชนที่ใกล้เคียง ขนาดพื้นที่ต้องเหมาะสมต่อการบริหารจัดการและเพียงพอให้เกิดอำนาจในการต่อรอง สำหรับเงื่อนไขของพื้นที่ และจำนวนเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ แบ่งตามประเภทสินค้า ได้ดังนี้ 1. ข้าวพืชไร่ ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ต้องมีพื้นที่รวมกันไม่น้อยกว่า 300 ไร่ และเกษตรกรไม่น้อยกว่า 30 ราย 2. ไม้ผล พืชผัก ไม้ดอกไม้ประดับ ประมง ปศุสัตว์ผึ้งและแมลงเศรษฐกิจ สมุนไพรและพืชอื่นๆ ต้องมีพื้นที่ร่วมกันไม่น้อยกว่า 300 ไร่ หรือเกษตรกรไม่น้อยกว่า 30 ราย
ทั้งนี้ เกษตรกร องค์กรการเกษตรที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถยื่นใบสมัครที่หน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ อาทิ สำนักงานเกษตรอำเภอส่วนผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ศูนย์วิจัยข้าว สำนักงานประมงอำเภอ สำนักงานปศุสัตว์อำเภอ สำนักงานสหกรณ์จังหวัด เป็นต้น จากนั้นจะต้องดำเนินการ อาทิ การจัดทำข้อมูลโครงการบริหารจัดการกลุ่มการคัดเลือกประธานกลุ่ม และผู้จัดการแปลงใหญ่ตามกระบวนการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ต่อไป
หลังจากที่รัฐบาลได้ดำเนินการโครงการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ในปีแรกเมื่อปี 2559 จนมาถึงปีนี้ มีเกษตรกรสนใจเข้าร่วมจำนวนมาก เพราะขั้นตอนการรวมกลุ่มเกษตรกร เพื่อขอเข้าร่วมโครงการไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยาก เพราะเกษตรกรไทยมีการรวมกลุ่มกันอยู่แล้ว เมื่อต้องการรวมกลุ่มเพื่อบริหารจัดการการเกษตร จึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากคือการพัฒนากลุ่มให้ยั่งยืน จึงจำเป็นต้องมีการวางแผนและบริหารจัดการตลาดห่วงโซ่การผลิต
“ในปีนี้ กรมส่งเสริมการเกษตร จะเดินหน้าแผนพัฒนาเกษตรแปลงใหญ่ โดยจะเน้นหนักในการบริหารจัดการแปลงที่เป็นระบบมากยิ่งขึ้น มีฐานข้อมูลแปลงที่ละเอียด ภายใต้การทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ในทุกระดับ เพื่อขับเคลื่อนแปลงใหญ่ไปในทิศทางเดียวกันและมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเน้นให้ภาคประชาชนเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน ผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) จำนวน 882 แห่งทั่วประเทศ โดยการจัดทำแผนปฏิบัติงาน การจัดชั้นคุณภาพเครือข่ายแปลงใหญ่ นาแปลงใหญ่ และการบันทึกข้อมูล รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการดำเนินงานให้เกิดขึ้นในรูปของกลุ่มเกษตรกรที่มีความเข้มแข็ง” นายสมชาย กล่าวในที่สุด
ที่มา : เทคโนโลยีชาวบ้าน วันที่ 4 มิ.ย. 2561
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.