รองนายกฯ สมคิด สั่ง กระทรวงเกษตรฯ แก้หนี้เกษตรกร 3.9 ล้านคน เป็นของขวัญปีใหม่
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการมาให้นโยบายในฐานะกำกับดูกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า ไม่ได้มาแทรกแซง แต่มาช่วยงานตามนโยบายที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมอบให้ ซึ่งจากที่ได้อ่านหนังสือพิมพ์หลายฉบับรายงานของธนาคารโลกระบุว่าประเทศไทยสถานการณ์ความยากจนดีขึ้นทำให้เศรษฐกิจโตตามลำดับฐานคนจนน้อยลง และเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะดีขึ้นมาติดในกลุ่มท็อปอาเซียนรองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งนักการเมืองรู้ดีแต่ทำเป็นไม่รู้
ทั้งนีั้รัชกาลที่ 10 รับสั่งให้ช่วยกันดูแลประชาชนโดยเฉพาะคนยากจน ซึ่งเรามีคนในภาคเกษตรประมาณ 10-20 ล้านคน แต่มีส่วนจีดีพีประเทศประมาณ 8-9% เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันทำให้ดีขึ้น จีนขณะนี้นำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร แต่ภาคเกษตรจีนไม่มีปัญหา แต่ของไทยเราต้องช่วยกันไม่งั้นตาย ต้องช่วยกันทำงานสนองรับสั่งร.10 นายกฯบอกใน1ปีจากนี้ ทุกกระทรวงต้องทำงานเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกระทรวงเกษตรต้องทำงานเพิ่มขึ้นอีก 50% จากนี้ทุกกระทรวงต้องช่วยกระทรวงเกษตร ช่วยชาวนา ทั้งพาณิชย์ ท่องเที่ยว ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.) โดยเฉพาะธกส.ต้องทำงานเป็นเนื้อเดียวกับกระทรวงเกษตรฯ
ทั้งนี้นโยบายสำคัญที่จะเร่งดำเนินการคือ 1.การเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร 3.9 ล้านคนที่ขึ้นทะเบียนผู้มีรายได้น้อยในโครงการบัตรสวัสดิการรัฐของกระทรวงการคลัง 11.4 ล้านคน ซึ่งจะแก้ไขหนี้เป็นรายบุคคล ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ และพื้นฟูอาชีพ โดยจะสามารถออกมาประกาศเป็นของขวัญปีใหม่ 2561ให้เกษตรกรไทย
2.การวางระบบแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตร ให้มีเจ้าภาพชัดเจนต่อไปจะได้ไม่ต้องโยนให้กระทรวงอื่น โดยการผลิตต่อไปต้องเชื่อมโยงตลาด กระทรวงเกษตรฯ กับพาณิชย์ต้องคุยกัน และมาตรการที่ออกมาจะต้องไม่สร้างปัญหากับกลไกตลาด ทั้งข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน เช่น ปัญหายางพาราจะใช้การแก้ไขอย่างเป็นระบบ และสร้างความร่วมมือรัฐกับเอกชนร่วมทั้งส่งเสริมการนำไปใช้ในประเทศเพิ่มมากขึ้นในสินค้าข้าวจะใช้กลไกของการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และการชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดโดยธกส.จะให้สินเชื่อผู้ประกอบการชะลอข้าวเปลือกและเกษตรกรจะได้เงินชดเชยกรณีเก็บข้าวในยุ้งฉางเป็นต้น
3. การต่อยอดโดยการสร้างเอสเอ็มอีภาคเกษตรขึ้นมาเอาเกษตรกรที่มีหัวก้าวหน้าทั้งสมาร์ทฟาร์มเมอร์ สหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชน ของกระทรวงเกษตรฯมาทำ และต่อไปจะมีคนทำตามเอง และให้ธนาคารเพื่อการเกษตร(ธกส.)ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้เอสเอ็มอีเหล่านั้นมีกำลังในการวางแผนการผลิต จัดหาวัตถุดิบจากเกษตรกร ใช้หลักเบ่งปันผลประโยชน์
4. กรณีที่ดินไม่เหมาะสม จะใช้การส่งเสริมการปลูกพืชอื่น และส่งเสริมปศุสัตว์ โดยเฉพาะโคเนื้อ ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่จะให้ส่งเสริมแบบสหกรณ์ ร่วมกันเลี้ยงเพื่อจะได้มีแปลงพืชอาหารสัตว์ดูแล
5. กรณีปัญหาสหกรณ์ ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ เร่งดำเนินการบริหารจัดการให้มีการดำเนินการอย่างเป็นธรรมและลดปัญหาหนี้สินหรือการทุจริต ไม่ต้องให้กฏหมายใหม่แก้เสร็จ แต่ให้ใช้ระเบียบที่กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย วางไว้ทันที
ที่มา : โพสต์ทูเดย์ วันที่ 8 ธ.ค. 2560