พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้บูรณาการขับเคลื่อนงานส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรรายย่อยรวมกันผลิตสินค้าเกษตร พร้อมจัดหาปัจจัยการผลิตและจำหน่ายผลผลิตร่วมกัน ลดต้นทุนที่เหมาะสม เพิ่มผลผลิต และให้สามารถแข่งขันในตลาดได้
ซึ่งในปี2560 นี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดทุกหน่วยงานประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน เร่งบูรณาการขับเคลื่อนพัฒนาระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่อย่างต่อเนื่องตามความต้องการของพื้นที่และเกษตรกร เน้นให้สอดรับกับนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ ที่กำหนดให้เป็นปีแห่งการยกระดับมาตรฐานการเกษตรสู่ความยั่งยืน โดยมุ่งพัฒนาคุณภาพผลผลิตสินค้าเกษตรแปลงใหญ่ให้ได้รับการรับรองมาตรฐานเพิ่มมากขึ้น อาทิ จีเอพี (GAP) หรือเกษตรอินทรีย์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและความปลอดภัยให้กับผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ และช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเกษตรกรด้วย
ด้าน นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ในปี 2559 ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ โดย กรมส่งเสริมการเกษตรได้ดำเนินการขับเคลื่อนงานส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ไปแล้วทั้งหมด 33 ชนิดสินค้า 9 ประเภท จำนวน 600 แปลง พื้นที่ 1,539,866.41 ไร่ มีเกษตรกรทั้งหมด 96,697 ราย จากการดำเนินงานที่ผ่านมา ทั้ง 9 กลุ่มสินค้า พบว่า ข้าว ลดต้นทุนได้ 19% เพิ่มผลผลิตได้ 13% พืชไร่ ลดต้นทุนได้ 22.7% เพิ่มผลผลิตได้ 27.8% ไม้ยืนต้น ลดต้นทุนได้ 14.9% เพิ่มผลผลิตได้ 18.7% ผัก/สมุนไพร ลดต้นทุนได้ 16.5% เพิ่มผลผลิตได้ 30.2% ไม้ผล ลดต้นทุนได้ 15.7%เพิ่มผลผลิตได้ 15.4% หม่อนไหม ลดต้นทุนได้ 10% เพิ่มผลผลิตได้ 10% กล้วยไม้ ลดต้นทุนได้ 10% เพิ่มผลผลิตได้ 10% ปศุสัตว์ ลดต้นทุนได้ 5.2% เพิ่มผลผลิตได้ 15.7% และประมง ลดต้นทุนได้ 8.6% เพิ่มผลผลิตได้ 8.1% มูลค่าเพิ่มจากการเพิ่มผลผลิตทั้งหมด 3,437.8 ล้านบาท มูลค่าเพิ่มจากการลดต้นทุนการผลิตทั้งหมด 1,427.1 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 4,864.9 ล้าน
สำหรับปี 2560 นี้ มีจำนวนแปลงใหญ่เพิ่มขึ้น จากเดิมที่วางเป้าหมายไว้ 600 แปลง เพิ่มขึ้น 912 แปลง รวม 1,512 แปลง รับรองไปแล้ว 1,417 แปลง และอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบข้อมูลอีก 95 แปลง ที่เหลืออีก 750 แปลง คือ แปลงข้าวที่ได้จากการปรับหลักเกณฑ์ อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาตรวจสอบข้อมูลเพื่อรับการรับรองเข้าสู่ระบบ โดยมีแผนการพัฒนาแปลงใหญ่ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 เตรียมการก่อนเข้าสู่ฤดูกาลผลิต (ต.ค. 59 - เม.ย. 60) มีการพัฒนาผู้จัดการแปลง พัฒนาเกษตรกร (การจัดทำบัญชี การพัฒนากลุ่มให้เข้มแข็ง การจัดทำแผนผลิตรายครัวเรือน การจัดทำแผนปฏิบัติงานรายแปลง) พัฒนา IFPP และพัฒนาด้านการตลาด เช่น การเชื่อมโยงผลผลิตแปลงใหญ่ รวมไปถึงโมเดิร์นเทรดทั้งหลายที่จะเข้ามาซื้อสินค้ากับเกษตรกร หรือแม้แต่ผู้ค้าท้องถิ่นที่จะเข้ามาช่วยเหลือในการดำเนินการ , ระยะที่ 2 ช่วงฤดูกาลผลิต (พ.ค. - ธ.ค. 60) โดยจะถ่ายทอดความรู้ตามชนิดสินค้า การนำเทคโนโลยีไปพัฒนาการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การพัฒนาการตลาด การประเมินผลผลิตและประสานการตลาด รวบรวมและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ วางแผนส่งมอบสินค้าแปลงใหญ่ และ วางแผนการปลูกพืชฤดูแล้ง/พืชเหลื่อมฤดู และ ระยะที่ 3 หลังฤดูกาลผลิต (ม.ค. - มี.ค. 61) เป็นการสรุปและประเมินผลการผลิตประจำฤดู รวมทั้งดำเนินการปลูกพืชฤดูแล้ง โดยความพร้อมของแปลงใหญ่ในปีนี้ จากที่วางเป้าหมายไว้แค่ 1,512 แปลง ขณะนี้เกินไปเกือบ 2000 กว่าแปลงแล้ว คาดว่าน่าจะถึงเป้าหมาย 7000 แปลง ภายใน 3 ปี ซึ่งที่ต้องระวังคือ การคำนึงถึงคุณภาพการดำเนินการตามมาตรการของแปลงใหญ่ ซึ่งขณะนี้มีหลายภาคส่วนที่เข้ามาใช้การขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการเกษตรโดยใช้แปลงใหญ่ จึงต้องทำความเข้าใจเพื่อที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้ให้เป็นมาตรฐาน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเป้าหมายคุณภาพสินค้าการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการเกษตร ได้มีการหารือกับโมเดิร์นเทรดที่จะเข้ามารับสินค้า อาทิ เทสโก้ โลตัส ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต บิ๊กซี หน่วยงานและห้างร้านในพื้นที่ ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรได้นำมาเทียบกับพื้นที่แปลงใหญ่เพื่อวางแผนการผลิตรองรับโมเดิร์นเทรด ซึ่งขณะนี้โมเดิร์นเทรดเกือบทุกสาขาได้เกิดความมั่นใจว่าจะได้รับผลผลิตที่มีคุณภาพ ปริมาณและจำนวนที่แน่นอนจากการบริหารจัดการแปลงใหญ่ตามระยะเวลาที่กำหนด
ที่มา : คมชัดลึก วันที่ 29 มี.ค. 2560
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.