คปอ.ร้อง “กองทุนยุติธรรม” ช่วยประกันตัวชาวบ้านทุ่งลุยลาย คดีรุกที่ดินป่าสงวน
เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน ออกแถลงการณ์ กรณีชาวบ้านทุ่งลุยลายถูกศาลพิพากษาจำคุก 4 เดือน ในคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม ชี้การฟ้องศาลไม่ใช่ทางออกข้อพิพาท ชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรม
16 มิ.ย.55 เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) ออกแถลงการณ์ กรณีชาวบ้านทุ่งลุยลาย ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ถูกศาลพิพากษาจำคุก 4 เดือน ในคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม โดยกำหนดหลักทรัพย์ประกันตัวรายละ 200,000 บาท ซึ่งเกินกำลังของชาวบ้าน ปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้านี้ คปอ.เรียกร้องให้กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เร่งพิจารณาให้ความช่วยเหลือโดยนำเงินจากกองทุนยุติธรรม มาใช้ในการประกันตัวชาวบ้าน
สำหรับการแก้ไขปัญหาพิพาทเรื่องที่ดินกรณีสวนป่าโคกยาว ในเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทจนนำมาสู่การฟ้องคดีครั้งนี้ คปอ.เรียกร้องให้รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการพิจารณาแนวทาง มาตรการแก้ไข ให้เป็นไปตามคำแถลงนโยบายของรัฐบาลในข้อที่ 5.4 ซึ่งในกรณีดังกล่าว ชาวบ้านในนามขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ได้ยื่นข้อเสนอต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา
“กรณีดังกล่าว เป็นปัญหาพิพาทที่ต้องใช้มาตรการทางนโยบายเป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหา และต้องมีความรวดเร็ว ทันการณ์ หากล่าช้าหมายถึงความขัดแย้งที่ลุกลามบานปลายมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน การนำเรื่องดังกล่าวขึ้นฟ้องร้องต่อศาลของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เพื่อให้เรื่องดังกล่าวไปยุติที่กระบวนการยุติธรรม ก็ไม่ใช่ทางออกของการแก้ไขข้อพิพาท เพราะชาวบ้านไม่มีหลักฐานที่เป็นกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งผลของคำพิพากษาส่วนใหญ่ ชาวบ้านต้องตกเป็นผู้กระทำความผิด แต่มีคำถามสำคัญคือ “ชาวบ้านได้รับความเป็นธรรมหรือไม่” นี่ยังไม่นับรวมถึง หลักทรัพย์ในการประกันตัว กรณีนายทอง กุลหงส์ ที่ถือว่าสูงมาก ทั้งที่ไม่ใช่อาชญากรรมร้ายแรง ซึ่งหากพิจารณาเทียบเคียงกับคดีเดียวกันในบางพื้นที่ จากการศึกษาพบว่า สามารถใช้บุคคลประกันตัวได้” แถลงการณ์ คปอ.ระบุ
แถลงการณ์ดังกล่าวให้ข้อมูลว่า กรณีสวนป่าโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานานกว่า 25 ปี กระทั่งเจ้าหน้าที่ได้เข้าจับกุมดำเนินคดีชาวบ้าน จำนวน 10 ราย ข้อหาบุกรุก แผ้วถางและใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อวันที่ 1 ก.ค.54 โดยแยกฟ้องชาวบ้านทั้งหมดเป็น 4 คดี
ปัจจุบัน ศาลชั้นต้นได้พิพากษาไปแล้ว 2 คดี มีชาวบ้านเป็นจำเลยจำนวน 4 ราย โดยพิพากษาให้จำคุก 4 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ พร้อมให้จำเลยและบริวารออกจากพื้นที่ ส่วนอีก 2 คดีที่เหลือ ศาลจังหวัดภูเขียว นัดสืบพยานโจทก์ ในวันที่ 11 และ 20 ก.ค.55 ตามลำดับ
ส่วนการกำหนดหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ต้องหา ในกระบวนการศาลชั้นต้นจังหวัดภูเขียว ศาลมีคำสั่งให้ยื่นประกันตัวในหลักทรัพย์รายละ 100,000 บาท รวมเงินประกันเป็นจำนวนทั้งสิ้น 1 ล้านบาท ต่อมาในชั้นอุทธรณ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดภูเขียวมีคำสั่งให้เพิ่มหลักทรัพย์ประกันตัวผู้จำเลยรายละ 200,000 บาท
ล่าสุด กรณีนายทอง และนายสมปอง กุลหงส์ สองพ่อลูกที่ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.55 ศาลได้กำหนดหลักทรัพย์ประกันตัวรายละ 200,000 บาท ทำให้ชาวบ้านต้องนำหลักทรัพย์ใน ศาลชั้นต้นของทั้ง 2 ราย มารวมกัน เพื่อประกันตัวลูกชายออกมาก่อน เนื่องจากมีปัญหาบกพร่องทางสมอง ส่วนพ่อต้องถูกจำคุก เพราะไม่มีหลักทรัพย์ประกันตัว
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างต้น แสดงให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอำนาจรัฐไทย ที่มีความเชื่องช้าในการตอบสนองต่อปัญหาความขัดแย้ง กระทั่งสุดท้ายปลายทาง ชาวบ้านต้องเป็นผู้แบกรับชะตากรรม ดังที่เคยเกิดขึ้นมาโดยตลอด” แถลงการณ์ระบุ
แถลงการณ์ให้ข้อมูลด้วยว่า นายทอง กุลหงส์ ที่ตกเป็นผู้ต้องขัง เข้ามาอยู่ในพื้นที่พิพาทตั้งแต่ปี พ.ศ.2511 มีหลักฐานการแจ้งการครอบครองก่อนการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าภูซำผักหนาม เมื่อปี พ.ศ.2516 แต่ต้องถูกขับไล่ออก และกลายเป็นคนไร้ที่ดินตั้งแต่นั้นมา ปัจจุบัน นางพัน กุลหงส์ ภรรยา วัย 71 ปี ต้องเลี้ยงหลาน 6 คน พร้อมกับลูกชายที่มีอาการทางประสาท ทั้งนี้ ไม่ต้องพูดถึงหลักทรัพย์จำนวน 200,000 บาท ลำพังจะหาเงินเลี้ยงครอบครัวยังลำบากแสนสาหัส
ทั้งนี้ ข้อพิพาทที่ดินกรณีดังกล่าว เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 โดยเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และกองกำลังทหารพราน ได้อพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่เดิม โดยสัญญาว่าจะจัดสรรที่ดินแห่งใหม่ให้รายละ 15 ไร่ เมื่อชาวบ้านบางส่วนออกจากพื้นที่ จะเข้าพื้นที่จัดสรร กลับปรากฏว่าเป็นที่ดินที่มีการครอบครองอยู่แล้ว จะเข้าที่ดินเดิมก็ไม่ได้ เพราะกลายสภาพเป็นสวนยูคาลิปตัสหมดแล้ว การเรียกร้องต่อสู้ของชาวบ้านจึงเริ่มตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แต่สุดท้ายกลับต้องตกเป็นจำเลยในที่สุด
แถลงการณ์เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.)
กรณีชาวบ้านทุ่งลุยลายถูกศาลพิพากษาจำคุก 4 เดือน
สืบเนื่องจากปัญหาพิพาทที่ดิน กรณีสวนป่าโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 25 ปี กระทั่งเจ้าหน้าที่ได้เข้าจับกุมดำเนินคดีชาวบ้าน จำนวน 10 ราย ข้อหาบุกรุก แผ้วถางและใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 โดยแยกฟ้องชาวบ้านทั้งหมดเป็น 4 คดี
ปัจจุบัน ศาลชั้นต้นได้พิพากษาไปแล้ว 2 คดี จำนวน 4 ราย โดยพิพากษาให้จำคุก 4 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ พร้อมให้จำเลยและบริวารออกจากพื้นที่ ส่วนอีก 2 คดีที่เหลือ ศาลจังหวัดภูเขียว นัดสืบพยานโจทก์ ในวันที่ 11 และ 20 กรกฎาคม 2555 ตามลำดับ
ทั้งนี้ การกำหนดหลักทรัพย์ในศาลชั้นต้น ศาลได้พิจารณาวางหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ต้องหา รายละ 100,000 บาท รวมทั้งสิ้น 1 ล้านบาท ต่อมาในชั้นอุทธรณ์ ศาลได้เพิ่มจำนวนหลักทรัพย์เป็นรายละ 200,000 บาท ซึ่งในรายล่าสุด กรณีนายทอง และนายสมปอง กุลหงส์ สองพ่อลูกที่ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา ต้องนำหลักทรัพย์ในศาลชั้นต้นของ ทั้ง 2 ราย มารวมกัน เพื่อประกันตัวลูกชายออกมาก่อน เนื่องจากมีปัญหาบกพร่องทางสมอง ส่วนพ่อต้องถูกจำคุก เพราะไม่มีหลักทรัพย์ประกันตัว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างต้น แสดงให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอำนาจรัฐไทย ที่มีความเชื่องช้าในการตอบสนองต่อปัญหาความขัดแย้ง กระทั่งสุดท้ายปลายทาง ชาวบ้านต้องเป็นผู้แบกรับชะตากรรม ดังที่เคยเกิดขึ้นมาโดยตลอด
เหตุที่กล่าวเช่นนี้ เพราะข้อพิพาทที่ดินกรณีดังกล่าว เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 โดยเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และกองกำลังทหารพราน ได้อพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่เดิม โดยสัญญาว่าจะจัดสรรที่ดินแห่งใหม่ให้รายละ 15 ไร่ เมื่อชาวบ้านบางส่วนออกจากพื้นที่ จะเข้าพื้นที่จัดสรร กลับปรากฏว่าเป็นที่ดินที่มีการครอบครองอยู่แล้ว จะเข้าที่ดินเดิมก็ไม่ได้ เพราะกลายสภาพเป็นสวนยูคาลิปตัสหมดแล้ว การเรียกร้องต่อสู้ของชาวบ้านจึงเริ่มตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แต่สุดท้ายกลับต้องตกเป็นจำเลยในที่สุด
ในกรณีนายทอง กุลหงส์ ที่ตกเป็นผู้ต้องขัง เข้ามาอยู่ในพื้นที่พิพาทตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 มีหลักฐานการแจ้งการครอบครองก่อนการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติป่า ภูซำผักหนาม เมื่อปี พ.ศ. 2516 แต่ต้องถูกขับไล่ออก และกลายเป็นคนไร้ที่ดิน ตั้งแต่นั้นมา ปัจจุบัน นางพัน กุลหงส์ ภรรยา วัย 71 ปี ต้องเลี้ยงหลาน 6 คน พร้อมกับลูกชายที่มีอาการทางประสาท ทั้งนี้ ไม่ต้องพูดถึงหลักทรัพย์จำนวน 200,000 บาท ลำพังจะหาเงินเลี้ยงครอบครัวยังลำบากแสนสาหัส
เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) เห็นว่า กรณีดังกล่าว เป็นปัญหาพิพาทที่ต้องใช้มาตรการทางนโยบายเป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหา และต้องมีความรวดเร็ว ทันการณ์ หากล่าช้าหมายถึงความขัดแย้งที่ลุกลามบานปลายมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน การนำเรื่องดังกล่าวขึ้นฟ้องร้องต่อศาลของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เพื่อให้เรื่องดังกล่าวไปยุติที่กระบวนการยุติธรรม ก็ไม่ใช่ทางออกของการแก้ไขข้อพิพาท เพราะชาวบ้านไม่มีหลักฐานที่เป็นกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งผลของคำพิพากษาส่วนใหญ่ ชาวบ้านต้องตกเป็นผู้กระทำความผิด แต่มีคำถามสำคัญคือ “ชาวบ้านได้รับความเป็นธรรมหรือไม่” นี่ยังไม่นับรวมถึง หลักทรัพย์ในการประกันตัว กรณีนายทอง กุลหงส์ ที่ถือว่าสูงมาก ทั้งที่ไม่ใช่อาชญากรรมร้ายแรง ซึ่งหากพิจารณาเทียบเคียงกับคดีเดียวกันในบางพื้นที่ จากการศึกษาพบว่า สามารถใช้บุคคลประกันตัวได้
อย่างไรก็ตาม ในกรณีดังกล่าว เครือข่ายฯขอเรียกร้องให้ กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เร่งพิจารณาให้ความช่วยเหลือโดยนำเงินจากกองทุนยุติธรรม มาใช้ในการประกันตัวชาวบ้าน เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้าก่อน
สำหรับการแก้ไขปัญหาข้อพิพาท รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการพิจารณาแนวทาง มาตรการแก้ไข ให้เป็นไปตามคำแถลงนโยบายของรัฐบาลในข้อที่ 5.4 ซึ่งในกรณีดังกล่าว ชาวบ้านในนาม “ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม” (ขปส.) ได้ยื่นข้อเสนอต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา
เครือข่ายฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ชะตากรรมที่เกิดขึ้นในกรณีนายทอง กุลหงส์ และประชาชนทั่วไปที่ถูกจับกุม ดำเนินคดีโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม จะเป็นบทเรียนสำคัญของสังคมไทย เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ก้าวหน้า เป็นธรรมกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้คนในสังคมที่มองว่า ชาวบ้านคือผู้บุกรุกทำลายป่า และเป็นตัวการที่ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง หรือภัยธรรมชาติอื่นๆ หากแต่ต้องหันกลับมาพิจารณาที่ต้นเหตุของเรื่อง ว่าแท้ที่จริงแล้ว ใครกันแน่ คือตัวบงการที่แท้จริง
สมานฉันท์
เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.)
16 มิถุนายน 2555
รายงานโดย นักข่าวพลเมืองเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน วันที่ 17 มิ.ย. 55
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.