กรมบังคับคดีจับมือเครดิตบูโรสางหนี้ครัวเรือน ไทยพาณิชย์ประเดิมส่งลูกหนี้ 1.2 หมื่นรายร่วมไกล่เกลี่ย
น.ส.รื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กรมบังคับคดีได้หารือกับนายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) เพื่อที่จะเชื่อมฐานข้อมูลระหว่างกัน รวมทั้งจัดโครงการการไกล่เกลี่ยหนี้ชั้นบังคับคดีที่กรมบังคับคดีได้ดำเนินการเชิงรุก เพื่อลดปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน
นอกจากนี้ กรมจะร่วมมือกับบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ในการเสริมสร้างความรู้ทางการเงินให้กับลูกหนี้ที่ได้ทำการไกล่เกลี่ยหนี้ รวมทั้งจะมีความร่วมมือในด้านการศึกษาวิจัยงานต่างๆ ด้วย ซึ่งจะมีการลงนามในบันทึกความร่วมมือ (เอ็มโอยู) กับบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ในเร็วๆ นี้ขณะเดียวกัน ธนาคารไทยพาณิชย์ได้เป็นธนาคารเอกชนแห่งแรกที่ทำหนังสือขอเข้าร่วมโครงการไกล่เกลี่ยหนี้กับกรมบังคับคดี โดยมีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจำนวนมากถึง 12,931 ราย สำหรับหนี้สินส่วนบุคคล บ้าน และรถยนต์ ซึ่งจะเริ่มกระบวนการไกล่เกลี่ยใน 14 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ จะเริ่มในวันที่ 2-4 พ.ค.นี้ นอกจากนี้ยังมี จ.นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี เชียงใหม่ นครสวรรค์ พิษณุโลก ภูเก็ต ลพบุรี อุดรธานี ลำปาง ชลบุรี สุราษฎร์ธานี และสงขลา“ความร่วมมือกับไทยพาณิชย์จะเริ่มหลังจากวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ผ่านพ้นไปแล้ว โดยไทยพาณิชย์ระบุในหนังสือที่ส่งมายังกรมว่า เห็นประโยชน์ของการไกล่เกลี่ยหนี้ในชั้นบังคับคดีที่กรมดำเนินการ ว่าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของคู่ความ สะดวก และหาข้อยุติร่วมกันได้ ถือเป็นทิศทางที่ดีที่ธนาคารให้ความสำคัญและเห็นประโยชน์” น.ส.รื่นวดี กล่าวน.ส.รื่นวดี กล่าวว่า กรมยังได้ร่วมมือกับคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อนำข้อมูลเกี่ยวกับการขายทอดตลาด การบังคับคดี มาจัดทำดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจได้ เช่น การศึกษาว่าปริมาณเงินธุรกรรมที่มีการประมูลซื้อสินทรัพย์จากการขายทอดตลาด ซึ่งเป็นสินทรัพย์หนี้ด้อยคุณภาพ (เอ็นพีเอ) จากกรมบังคับคดีปีละประมาณ 8 หมื่นล้าน-1 แสนล้านบาท มีผลต่อเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง หรือทำให้เกิดปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบอย่างไรบ้าง รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการนำสถิติการขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์ในแต่ละภูมิภาค หรือแต่ละจังหวัด ใช้เป็นดัชนีชี้วัดความเจริญ หรือชี้โอกาสการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบันกรมบังคับคดีมีสินทรัพย์ รอการขายประมาณ 1.94 แสนล้านบาท แบ่งเป็นที่ดินเปล่า 7.41 หมื่นล้านบาท ห้องชุด 5.68 หมื่นล้านบาท และที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 6.14 หมื่นล้านบาท
ที่มา : โพสต์ทูเดย์ วันที่ 15 เม.ย. 2559