"หม่อมอุ๋ย"ติงรัฐบาลดันเอกชนลงทุนเพิ่มสต็อกไม่ตอบโจทย์เศรษฐกิจ ชี้ควรลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ย้ำต้องแก้ปัญหา "จัดเก็บภาษี-ใช้พลังงานฟุ่มเฟือย" แนะรัฐสำรองเงินอุ้มชาวนา-สวนยาง พัฒนาอุตสาหกรรมขั้นสูง
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลควรเน้นลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าการใช้มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์ทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่ชะลอตัว นอกจากนี้ ไทยยังมีปัญหาที่ต้องแก้ คือเรื่องโครงสร้างราคาน้ำมัน เนื่องจากการใช้พลังงานในประเทศไทยยังไม่มีประสิทธิภาพและยังฟุ่มเฟือย โดยในปี 2557 มีปริมาณการใช้พลังงานถึง 17% ของจีดีพี ซึ่งที่ผ่านมามีมาตรการเข้าไปอุดหนุนต่างๆ ทำให้เป็นปัญหาสืบเนื่องถึงปัจจุบัน อีกด้านคือโครงสร้างของภาษีสรรพสามิตยังไม่สอดคล้องต่อค่าความร้อนของพลังงานที่ใช้ในปัจจุบัน ดังนั้น ต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรร พาสามิตครั้งใหญ่ เพราะปัจจุบันยังเก็บได้น้อย แล้วทำให้ภาพรวม เช่น ในปีที่ 2558 รัฐสามารถจัดเก็บรายได้ไม่ถึง 18% ของ GDP เทียบกับในอดีตที่เก็บได้ระดับ 25% ของ GDP ซึ่งหากเป็นแบบนี้ต่อไปจะส่งผลให้เกิดปัญหารัฐบาลไม่มีเงินมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเมื่อเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวในอนาคต
“การให้เอกชนเพิ่มการลงทุนอีกด้านหนึ่งก็ทำให้เป็นหนี้มากขึ้น ผมจึงไม่เคยหนุนให้ใครขยายการลงทุนเพื่อผลิตของมาสต๊อก เพราะสิ่งที่ผู้ส่งออกต้องการคือออเดอร์ (คำสั่งซื้อ) มากกว่า” ม.ร.ว. ปรีดิยาธร กล่าว และว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยขณะนี้ยังไม่กังวลเพราะแรงขับเคลื่อนหลักยังอยู่ที่ภาคธุรกิจกว่า 80% ของ GDP ซึ่งเอกชนยังเดินต่อได้ ส่วนสิ่งที่คาดหวังกับรัฐบาลมีไม่กี่อย่าง อย่างแรกคือ อย่าใช้เงินฟุ่มเฟือย ควรลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพราะมีความจำเป็นมาก และในอนาคตมีความจำเป็นที่ต้องสำรองเงินไว้อีกในช่วงที่เศรษฐกิจโลกชะลอ จะหวังพึงการลงทุนภาครัฐอย่างเดียวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลจำเป็นต้องทำเร่งด่วน คือ การให้เงินเพื่อช่วยเหลือชาวสวนยางและผู้ทำนา เพื่อไม่ให้มีภาระหนี้มากขึ้น ซึ่งถ้าทำได้ อีกประมาณ 2-3 ปี เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น โดยเงินที่ต้องสำรองไว้ใช้ลงทุนมากพอควร แต่มองว่าคุ้มค่าแน่นอน เพราะว่าจะเป็นการช่วยให้ชาวนาและชาวสวนยางมีกำลังซื้อมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง
“รัฐบาล อย่าไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการลดภาษีทุกอย่าง มันไม่ตรงจุด ซึ่งก็หวังว่าเขาจะอ่านไพ่เป็น อ่านไพ่ออก และก็เดินได้ และอีกสิ่งที่ต้องรอ คือราคาสินค้าต่างๆ ที่มันลง ก็รอให้อยู่ในจุดต่ำสุด เดี๋ยวมันก็จะพลิกฟื้นกลับ ระหว่างที่รอ ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นภายใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งผมยังมีความหวังในประเทศไทย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
ทั้งนี้ จะต้องมีการปรับเสริมภาคอุตสาหกรรมให้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้น เช่น อาหารแปรรูปทั่วไปให้เป็นอาหารทางการแพทย์และมีสารอาหารคุณภาพสูง เปลี่ยนการผลิตยางและชิ้นส่วนยางเป็นการยางรถยนต์แทน รวมไปถึงวัสดุก่อสร้างทั่วไปให้มีความแข็งแรง หรือเป็นนาโนมากขึ้น ซึ่งส่วนนี้จะช่วยให้เพิ่มมูลค่าของสินค้าและเพิ่มการขยายตัวของการส่งออกได้
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 7 เม.ย. 2559
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.