กมธ.ขับเคลื่อนปฏิรูปเศรษฐกิจเร่งดันร่างพ.ร.บ.การเงินฐานราก เป็นสถาบันการเงินระดับชุมชน ด้าน“กอบศักดิ์”มั่นใจเป็นจุดเปลี่ยนประเทศ
เมื่อวันที่ 19 ม.ค. ที่รัฐสภา นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) แถลงถึงการขับเคลื่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจว่า เรื่องเศรษฐกิจการเงินฐานราก ซึ่งจะเป็นสถาบันการเงินระดับชุมชนโดยประชาชนเป็นเจ้าของ และทำเพื่อประชาชนให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน พร้อมกับลดความเหลื่อมลํ้าทางเศรษฐกิจ เพราะที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการจัดตั้งกองทุนต่างๆ เป็นจำนวนมาก แต่ยังมีปัญหาด้านความรู้ความสามารถทางการเงินตลอดจนขาดความมั่นคงและยั่งยืนต่อการบริหารจัดการความเสี่ยงและด้านบัญชี อีกทั้งสถาบันการเงินไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล ทำให้การปฏิรูปเศรษฐกิจการเงินฐานรากจึงเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ด้านนายสมชัย ฤชุพันธุ์ โฆษกคณะกรรมาธิการฯ ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า แม้ธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐจะมีจำนวนมาก แต่ยังมีประชาชนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงระบบการเงิน ทำให้ชุมชนเกิดการจัดตั้งสถาบันการออมประเภทต่างๆขึ้นมา เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์กองทุนหมู่บ้าน แต่ก็ไม่เกิดการพัฒนาสถาบันการเงิน และขาดการเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย คณะกรรมาธิการฯ จึงได้ศึกษาสานต่อ
แนวทางจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) โดยเสนอรายงานการปฏิรูปเศรษฐกิจฐานราก และร่างพ.ร.บ.การเงินฐานราก พ.ศ. ... เข้าสู่ที่ประชุม สปท.ในวันที่ 18 ม.ค.2559 จนมีมติเห็นชอบแล้ว หลังจากนี้สมาชิกสามารถขอแปรญัตติและทบทวนภายใน 10 วันก่อนจะส่งไปยังครม.เพื่อเสนอเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ต่อไป
ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล เลขานุการกมธ.ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า สำหรับประโยชน์ต่อภาคประชาชน เมื่อโครงข่ายการเงินฐานรากเกิดขึ้นครบทุกตำบลประมาณ7,000 แห่ง จะเป็นการเพิ่มการเข้าถึงแหล่งการออมให้กับประชาชนไม่น้อย 17.5 ล้านคน ประมาณตำบลละ 2,500 คน นำมาซึ่งเงินออมที่เพิ่มขึ้นด้วยตนเอง อย่างน้อยประมาณปีละ 7,000 ล้านบาท ภายใต้สมมติฐานการเก็บออมเพียงประมาณ 1 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งภายใน 10 ปี โครงข่ายนี้จะสามารถมีเงินเก็บออมเองไม่ตํ่ากว่า 70,000 ล้านบาท และนำไปสู่การปล่อยกู้ได้ประมาณ 150,000-200,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังจะช่วยในการประหยัดของชุมชนในส่วนที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเดินทางไปสาขาธนาคารพาณิชย์ และช่วยลดภาระดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายให้กับนายทุนนอกระบบด้วย
“โครงข่ายการเงินฐานรากจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชนในระดับฐานรากทั่วประเทศไทย และเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยเราจะได้เห็นกฎหมายฉบับนี้ภายในปีนี้”นายกอบศักดิ์ กล่าว
ที่มา : เดลินิวส์ วันที่ 19 ม.ค. 2559