“เจ้าสัวเจริญ” ไฟเขียวบริษัทในเครือนำที่ดินก ว่า 3 แสนไร่ พัฒนาให้เกิดรายได้ ทั้งในภาคธุรกิจการเกษตร อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก และนิคมอุตสาหกรรม ขณะที่ทีซีซี แลนด์ โชว์ผลงานดีเยี่ยม สั่งเพิ่มงบลงทุนกว่า 100% ขนเงินหมื่นล้านลุยปักหมุดธุรกิจรีเทลทั่วไทย มั่นใจปลุกชีพห้างดังทั้งพันธุ์ทิพย์/ เกตเวย์/ เซ็นเตอร์พอยท์ให้มีกำไร พร้อมเดินหน้าโกยเงิน ภายใต้แนวคิด “เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆทำ”
นาย ณภัทร เจริญกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มรีเทล บริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ จำกัด ในเครือกลุ่มทีซีซี แลนด์ เปิดเผยกับ”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า เจ้าสัวเจริญ(นายเจริญ สิริวัฒนภักดี) ประธานกรรมการบริหาร ทีซีซี กรุ๊ป บริษัทแม่ของกลุ่มทีซีซี แลนด์ มีนโยบายให้บริษัทในเครือนำที่ดินที่มีอยู่ ซึ่งมีพื้นที่รวมกันกว่า 3 แสนไร่ไปพัฒนาหรือบริหารจัดการ เพื่อก่อให้เกิดรายได้ให้บริษัทและส่งเสริมให้ชุมชนมีความก้าวหน้า ทั้งในภาคธุรกิจการเกษตร อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก และนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น ส่งผลให้ผู้บริหารในแต่ละกลุ่มธุรกิจต่างศึกษาและเตรียมนำเสนอแผนการพัฒนาและลงทุนธุรกิจในระยะยาว
กลุ่มธุรกิจรีเทล เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มีการเติบโตและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ก็ได้รับความสนใจและสนับสนุนให้มีการขยายการลงทุนเพิ่ม รวมทั้งพัฒนาโมเดลใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคและให้สามารถแข่งขันใน ตลาดได้ โดยปัจจุบันบริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ฯ เป็นผู้บริหารศูนย์การค้ารวม 5 แบรนด์ ได้แก่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์, เกตเวย์, เซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์, พันธุ์ทิพย์ และบ็อกซ์ สเปซ รวมมูลค่าโครงการกว่า 2 หมื่นล้านบาท
สำหรับ แผนลงทุนในระยะ 5 ปี (ปี 2558-2562) จากเดิมที่จะใช้งบลงทุน 5 พันล้านบาท มีการปรับเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1 หมื่นล้านบาท เพื่อการขยายสาขาเพิ่มใน 3 แบรนด์ ได้แก่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ 3 – 3.5 พันล้านบาท สำหรับขยายเอเชียทีค เจริญกรุง เฟส 2 และการขยายสาขาใหม่ที่เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน ภูเก็ต และสมุย , เกตเวย์ 5 พันล้านบาท สำหรับการขยายสาขาเพิ่มอีก 3 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และบ็อกซ์ สเปซ 1.5 พันล้านบาท สำหรับการขยายสาขาในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดอีก 3-4 แห่ง ขณะเดียวกันบริษัทยังต้องศึกษาและพัฒนารูปแบบค้าปลีกใหม่ๆ ตลอดเวลาเพื่อรองรับการลงทุนเพิ่ม ขณะที่การรีโนเวตเซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์ และพันธุ์ทิพย์อีก 4 แห่งจะใช้งบแยกต่างหาก
“โจทย์ล่าสุดที่เพิ่งได้มาจากท่านประธาน (นายเจริญ)เมื่อเดือนเศษนี้ คือ ให้นำที่ดินริมทางหลวงไปจัดสรรเป็นพื้นที่ค้าปลีกโมเดลใหม่ ซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทย โดยมีคอนเซ็ปต์คล้ายกับที่ประเทศญี่ปุ่น คือ เป็นทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ที่พักผ่อนของผู้ที่สัญจรผ่านไปมา ขณะนี้ยังไม่มีการตั้งชื่อ เพราะเป็นโปรเจ็กต์ที่ใหม่มาก แต่เบื้องต้นเราเรียกว่าโปรเจ็กต์ไฮ-เวย์”
ปัจจุบันทีซีซี แลนด์ มีที่ดินริมทางหลวงอยู่กว่า 10 แห่งทั่วประเทศ โดยมีพื้นที่ตั้งแต่ 10 – 100 ไร่ แต่ละทำเลสามารถนำมาพัฒนาเป็นโมเดลใหม่ตามโปรเจ็กต์ไฮ-เวย์ได้ทั้งสิ้น แต่เบื้องต้นขณะนี้อยู่ระหว่างการเลือกหาทำเลที่เหมาะสมและตอบโจทย์ตลาดได้ คาดว่าจะใช้เวลาราว 6 เดือนในการพัฒนาคอนเซ็ปต์จนตกผลึก และอีก 6 เดือนในการออกแบบดีไซน์ ก่อนที่จะใช้เวลาก่อสร้าง 6-8 เดือน โดยเบื้องต้นประเมินว่าจะใช้เงินลงทุนราว 100-200 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในกลางปี 2560 และเพิ่มขึ้นเป็น 5 แห่งภายในปี 2562
นายณภัทร กล่าวอีกว่า การที่ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ ได้รับการสนับสนุนให้ขยายการลงทุนต่อเนื่อง เกิดจากผลงานในช่วงที่ผ่านมา ที่สามารถพลิกฟื้นสร้างรายได้ให้กับเอเชียทีค รวมถึงการเข้าไปบริหารจัดการเกตเวย์ เอกมัย และเซ็นเตอร์พอยท์ จนเบื้องต้นสามารถเพิ่มจำนวนลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการได้เป็นเท่าตัวในช่วงระยะเวลาเพียง 3-6 เดือน หน้าที่ต่อไป คือ การปรับปรุงและพัฒนาพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ ห้างดังระดับแนวหน้าของเมืองไทยในอดีตให้กลับมา ภายใต้แนวคิด Internet of Things ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุง จะสามารถเผยโฉมใหม่ได้ในกลางปี 2559
“ค้าปลีกทั้ง 5 แบรนด์ของทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ ต่างมีโพสิชันนิงที่แตกต่างกัน ทำให้เชื่อว่าจะไม่เกิดการแย่งชิงลูกค้ากันเอง นอกจากนี้เป้าหมายของบริษัทไม่ได้มุ่งแข่งขันหรือท้าชนกับห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์การค้าขนาดใหญ่ แต่เน้นการสร้างจุดขายและเป็นอีกทางเลือกให้กับลูกค้า ด้วยร้านค้าที่หลากหลาย กิจกรรมหรืออีเวนต์ที่แปลกใหม่ จะช่วยดึงดูดให้ลูกค้ากลับเข้ามาใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง” นายณภัทรกล่าวและว่า
ค้า ปลีกของที่นี่จะต้องใหญ่ ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์จะไม่ทำค้าปลีกไซซ์เล็ก เพราะเชื่อว่าการมีพื้นที่ใหญ่ จะทำให้มีร้านค้าและบริการที่หลากหลาย ครบครัน หากมีร้านค้าน้อย เช่น คอมมิวนิตี มอลล์ การจะดึงลูกค้าให้เข้ามาเป็นเรื่องยาก ค้าปลีกขนาดเล็กก็จะอยู่ยากไปด้วย โดยพื้นที่ที่ต้องการพัฒนาจะมีขนาดตั้งแต่ 1-3 หมื่นตารางเมตรขึ้นไป
อย่าง ไรก็ดี ปัจจุบันบริษัททีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ มีพื้นที่ค้าปลีกรวม 1.5 แสนตารางเมตร คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.5-4 แสนตารางเมตรในอีก 5 ปีข้างหน้า ขณะที่ในปี 2558 คาดว่าจะมีรายได้รวม 2 พันล้านบาท มีกำไร 1 พันล้านบาท ส่วนในปี 2559 จะมีรายได้รวม 2.7 พันล้านบาท มีกำไร 1.5 พันล้านบาท และในปี 2562 จะมีรายได้ 5-6 พันล้านบาท และมีกำไร 3.5 พันล้านบาท
ส่วนแผนการขยายการลงทุนในต่างประเทศ นั้น นายณภัทร กล่าวยอมรับว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีนักธุรกิจต่างชาติ ทั้งจีน มาเลเซีย และญี่ปุ่น ติดต่อเข้ามา ชักชวนให้ไปลงทุน แต่ด้วยนโยบายของบริษัทที่มุ่งเน้นการพัฒนาในประเทศในทำเลที่มีศักยภาพให้สำเร็จตามแผน 5 ปีที่ได้นำเสนอต่อบอร์ดใหญ่ของทีซีซี แลนด์ไปแล้ว การจะลงทุนในต่างประเทศ จึงคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีก 5-7 ปีข้างหน้า
ขณะ ที่บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยนายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้เปิดตัวบริษัท เดอะ สตรีท รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด พร้อมกับโครงการค้าปลีกรูปใหม่ “มิกซ์ยูส” ภายใต้ชื่อ “เดอะ สตรีท รัชดา” สตรีตมอลล์ที่ผสมผสานร้านค้า ร้านอาหาร สถานที่ออกกำลังกาย มีมูลค่าโครงการกว่า 2.3 พันล้านบาท บนพื้นที่ 16 ไร่ ซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของห้างสรรพสินค้าโรบินสัน และจะเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการในต้นเดือนธันวาคมนี้ ทั้งนี้ทีซีซี แอสเซ็ทส์ ถือเป็นอีกบริษัทที่เข้ามาลงทุนด้านค้าปลีกของกลุ่มทีซีซี กรุ๊ป
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,107 วันที่ 22 – 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 23 พ.ย. 2558
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.