พล.อ.ประยุทธ์ เผย อยากเห็นการส่งเสริมอาชีพเกษตรกร แก้ปัญหาเป็นระบบ จัดอุตสาหกรรมลงพื้นที่ หาตลาดรองรับ หวังสร้างรายได้เพิ่ม เจาะกลุ่มสินค้าหลักชุมชน
เมื่อวันที่ 17 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) กล่าวว่า สำหรับเรื่องภาคการเกษตร จากการที่ไปดูงานที่ จ.อุบลราชธานี ขอชื่นชมข้าราชการทุกคนและทุกภาคีเครือข่ายที่ร่วมกันทำงาน แต่ตนอยากเห็นบางอย่างที่จะต้องปรับปรุง คือเรื่องการส่งเสริมอาชีพเกษตรกร หรืออาชีพอิสระ ค้าขาย การผลิตเครื่องอุปโภคบริโภค เช่น เสื่อ ผ้าไหม ต้องมาพูดคำว่านวัตกรรม หากเราส่งเสริมแบบเดิมไปมาก ๆ จะกลายเป็นปัญหาทางด้านการตลาด ตนจึงให้แนวความคิดต่อไปนี้ทุกตำบล อำเภอ หมู่บ้านต้องจัดกิจกรรมหลัก ว่าจะมีการแปรรูปกันอย่างไรให้ผลิตภัณฑ์มีมูลค่าสูงขึ้น ส่วนอะไรที่เป็นวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นให้รักษาไว้ นอกจากนี้ต้องประยุกต์สิ่งของ ให้ตรงกับการตลาด ราคาไม่สูงจนเกินไป เพราะหากเรายังขายของแบบเดิม ๆ ก็ไม่ได้อะไร เนื่องจากมีการแข่งขันสูง และต้องดูสินค้าหลักในกลุ่มจังหวัดที่ใช้วัตถุดิบในพื้นที่เพื่อต่อยอดเชื่อมโยงการตลาด นี่คือเศรษฐกิจใหม่ที่ตนต้องการ แต่ในชุมชนก็ค้าขายกันเองด้วย คราวหน้าตนไปต่างจังหวัดอยากให้เป็นในลักษณะ เช่น กลุ่มจังหวัด 10 กลุ่ม มีกิจกรรม 10 อย่าง ในแต่ละกลุ่มให้รวมผลิตภัณฑ์แบบเดียวกันจากหลาย ๆ จังหวัด เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกัน เพราะถ้าเราไม่ดู ปรับปรุง และคิดใหม่ก็จะเป็นแบบนี้ อยากให้เชื่อมโยงแบ่งหน้าที่แบ่งงานกันทำเพื่อยกขึ้นมาทุกจังหวัด
นายกฯ กล่าวอีกว่า แม้กระทั่งทำการเกษตรปัญหาของเราต้องดูเรื่องต้นทุนการผลิต เครื่องจักร เครื่องมือ ตั้งศูนย์การเรียนรู้บางคนมาเห็นด้วยแต่กลับไปก็ไม่ทำ เพราะไม่คุ้นเคย ไม่สามารถเปลี่ยนอาชีพที่ทำมานานได้ แบบนี้แก้ยาก นี่คือปัญหาของเรา ตนจึงสั่งการไปในเรื่องดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจะดีถึงครัวเรือนต้องมีภาคอุตสาหกรรมไปประกอบด้วยทุกจังหวัด เพราะเรารอผลิตทางการเกษตรอย่างเดียวไม่ได้ กำไรก็น้อย และอาจจะส่งผลให้เกิดหนี้นอกระบบ
"จากที่ผมลงพื้นที่และถามเกษตรกรว่าสิ่งที่รัฐบาล ทำลงไป ได้รับประโยชน์หรือไม่ ซึ่งเขาบอกว่าบางคนก็ได้ บางคนก็ไม่ได้ ส่วนเรื่องที่ไมได้คือ 1.เมล็ดพันธุ์ราคาสูง ซึ่งศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ไม่เพียงพอ ทำให้เกษตรซื้อราคาสูง 2.ปุ๋ยราคาแพง สรุปแล้วสิ่งเหล่านี้ผมไม่ทราบ ว่าการรับรู้มันอยู่ตรงไหน จึงกำชับข้าราชการ ให้อธิบายกับเกษตรกรให้ชัดเจน อย่าพูดครั้งเดียว เหมือนผมต้องพูดบ่อยๆ ผมก็ไม่เบื่อ แต่จะพูดให้มันเกิดให้ได้"นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ต้องกลับไปดูเรื่องเมล็ดพันธุ์ว่าจะสามารถขยายเพิ่มได้หรือไม่ สร้างธนาคารปุ๋ย ธนาคารพืช เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนยืมคืนอะไรก็ได้ให้มีมูลค่าเท่ากัน ซึ่งแนวทางนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มไว้ให้แล้ว เช่น ธนาคารข้าว แล้วทำไมเราจึงไม่ทำต่อ ส่วนเรื่องเครื่องมือที่ไม่เพียงพอต้องขอความร่วมมือจากภาคเอกชน นอกจากนี้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและกระทรวงมหาดไทย ไปร่วมกันพิจารณางบประมาณสร้างโรงอบข้าว ที่ละ 20 ล้านบาท ซึ่งราคาประมาณจุ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรอีกทางหนึ่ง รวมทั้งเรื่องระบบการขนส่งด้วย ซึ่งการแก้ปัญหาต้องแก้เป็นระบบเชื่อมโยงกัน ซึ่งเรื่องแบบนี้ต้องแก้มาตั้งนานแล้ว แต่กลับต้องมาแก้กันในรัฐบาลนี้ ถ้าจะทำเพื่อประชาชนต้องคิดแบบที่ตนคิด ถ้าคิดลอย ๆ คิดแต่นโยบายราคาสูงขึ้นอย่างเดียว ไม่ดูต้นทุน ไม่ดูกระบวนการการผลิต ทั้งที่เป็นปัญหาทั้งสิ้น วันนี้ปัญหาเหล่านี้ไม่ควรจะต้องเกิดขึ้นอีกแล้ว แต่ตนก็จะไม่โทษใคร แต่จะต้องทำให้ได้ อย่างน้อยระยะแรก ถึงปี 2560 นอกจากนี้เราต้องดูเรื่องพืชผลการเกษตรที่เป็นพืชเศรษฐกิจชนิดอื่น ๆ ด้วย อาทิ ยางพารา มันสำปะหลัง สับปะรด เราต้องเน้นวงจรการผลิต การขนส่งที่มีประสิทธิภาพ
นายกฯ กล่าวอีกว่า วันนี้รายได้ของเกษตรกรต่อหัวโดยเฉพาะภาคอีสาน ปีละ 50,000 บาท ซึ่งเป็นรายได้ที่น้อย อยู่แบบนี้ไม่ไหว แต่เขาต้องทำ แต่จะทำอย่างไรสร้างความเข้าใจว่าให้เกิดภาคอุตสาหกรรมเข้าไปในพื้นที่ เพื่อนำสินค้าเกษตรเพิ่มมูลค่า สร้างเป็นนวัตกรรม ให้ดึงราคากลับมาที่ภาคการผลิตได้ แต่ถ้าไม่เอา ไม่ให้ ไม่ทำ ไม่ร่วมมือ ก็จะไม่มีทางราคาขึ้นมาได้ ต่อให้ใครมาเป็นรัฐบาลก็ทำไม่ได้ ราคาจะถูกบิดเบือนไปเรื่อยๆ และคนก็จนลงทุกวัน คนพวกนี้เกือบ 40 ล้านคน มีพื้นที่การเกษตร 43 ล้านไร่ เมื่อคนเหล่านี้เป็นคนมีรายได้น้อย ส่งผลให้เข้าระบบภาษีไม่ได้ ประเทศก็ขาดรายได้ ดังนั้นการแก้ปัญหาต้องแก้ทั้งระบบให้ได้
ที่มา : โพสต์ทูเดย์ วันที่ 17 พ.ย. 2558
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.