นายศรีสุวรรณ จรรยา
นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน
กรณีปฏิบัติการล้อมปราบผู้มีอิทธิพลรุกป่ายึดที่หลวงจะว่าไปแล้วเป็นเหมือนละครพีเรียดที่สุดคลาสสิกคู่สังคมไทย เพราะไม่ว่าสีไหน กลุ่มไหน ขึ้นมาเป็นใหญ่ในแผ่นดินล้วนต่างใช้อำนาจอิทธิพลเข้ายึดครองพื้นที่ทำเลทองมาเป็นของส่วนตัวแทบไม่มียกเว้น ไม่ว่าจะเป็นบิ๊กสีใด ๆ แม้กระทั่งนักเล่าข่าวตัวเป้ง ๆ
ข้อหาบุกรุกที่หลวงของผู้มีอิทธิพลจึงขึ้นอยู่กับว่าใครใหญ่ ใครอยู่ และ ณ กาลเวลานั้น ใครคือเป้าหมาย แต่ ณ เวลานี้เป้าหมายเล็งไปที่ปากช่อง เชิงเขาใหญ่ พื้นที่ของบิ๊ก ๆ โบนันซ่า ไม่ว่าการได้มาซึ่งที่ดินดังกล่าวจะมาจากสาเหตุใดก็ตาม ความจริง ณ วันนี้โบนันซ่าถูกกล่าวหาและวิพากษ์จากสังคมว่ารุกป่าสงวนแห่งชาติและที่ดิน ส.ป.ก. ซึ่งจากการตรวจสอบของกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ว่า โบนันซ่าเขาใหญ่ ในส่วนที่ตั้งสนามแข่งรถ ประมาณ 166 ไร่ มีปัญหาเรื่องเอกสารสิทธิ์ที่ดิน แบ่งเป็นพื้นที่ที่บุกรุกที่ สปก. 71 ไร่ พื้นที่ที่ได้น.ส.3 ก. โดยมิชอบ 54 ไร่ ที่เหลือเป็นป่าสงวน อีกทั้งในส่วนที่พักยังติดพื้นที่ป่าถาวร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิครอบครองใดๆ ได้
ความต้องร้อนไปถึงพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ในการออกเอกสารสิทธิ์ จำต้องเร่งรีบออกมาทำการสำรวจตรวจสอบว่าเอกสารสิทธิดังกล่าวได้มาเมื่อไหร่ จากหลักฐานใด อย่างไร และออกก่อนการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ หากได้มาหลังประกาศเขตป่าสงวนฯ ก็ต้องทำการเพิกถอน จากนั้นจะนำเรื่องทั้งหมดเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ลงความเห็นในการเพิกถอนและเสนอกรมที่ดิน ตั้งกรรมการในการเพิกถอนต่อไป
ไม่เพียงเท่านี้หากแต่มีการชี้จุดให้มีการตรวจสอบเพิ่มเติม ทางที่ดินก็พร้อมที่จะเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งการลงพื้นที่ครั้งนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบในรัศมี 1 กม.จากบริเวณสนามแข่งรถพบว่าอีกหลายแปลงที่อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติด้วย
ขณะเดียวกัน สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) นั้นเลขาธิการ ส.ป.ก. ได้สรุปผลการเข้าตรวสอบพื้นที่จริง ร่วมกับกองทัพภาคที่ 2 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่าพื้นที่สนามแข่งรถของรีสอร์ตโบนันซ่าสร้างขยายคร่อมพื้นที่ 3 หน่วยงาน โดยมีการบุกรุกพื้นที่ ส.ป.ก.จำนวน 71 ไร่ จึงสั่งให้ ส.ป.ก.นครราชสีมา แจ้งความทางอาญาต่อผู้บริหารรีสอร์ตโบนันซ่าในข้อหาบุกรุก เพื่อฟ้องขับไล่ยึดคืนพื้นที่ และฟ้องให้ชดใช้ค่าเสียหายที่เข้าทำลายทรัพย์สินของราชการ ตามกฎหมาย ส.ป.ก.
พื้นที่ ส.ป.ก.ที่อยู่ในส่วนขยายของสนามแข่งรถ เป็นพื้นที่หนึ่งในสามของพื้นที่ทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าไม้ โดยทางเจ้าของรีสอร์ตอ้างมาตลอดว่ามีเอกสาร น.ส.3 และ ส.ค.1 แต่เบื้องต้นพบว่ามีการออกโฉนดโดยมิชอบ แต่เจ้าหน้าที่ป่าไม้นครราชสีมา ปล่อยปละละเลยมาหลายปี แม้มีอำนาจจับกุมโดยทันที เช่น กรณี ส.ค.บิน พอ คสช. มีนโยบายมาจึงเพิ่งจะเร่งทำกระนั้นหรือ
เรียกได้ว่าทำท่าขึงขังกันทั้งกรมที่ดินและส.ป.ก.ทั้งจะฟ้องร้องอาญา ขับไล่ รื้อถอน เรียกค่าเสียหาย แต่กระนั้นอย่าลืมว่าเจ้าของที่ดินแปลงต่าง ๆ เหล่านั้นหาใช่ขี้ไก่ที่ใครจะคิดทำอะไรก็ลงมือเช็ดล้างได้โดยง่าย ไม่เช่นนั้นคงไม่อยู่ยั้งยืนยงมาจนบัดนี้ ทั้งที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าอาณาจักรต่าง ๆ เหล่านั้น สุ่มเสี่ยงในการตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอย่างยิ่งและความจริงก็เปิดเผยให้เห็นแจ่มแจ้งแล้ว
อย่างไรก็ตาม เจ้าพ่อโบนันซ่าซึ่งรู้ทิศทางลมการเมืองเป็นอย่างดี จึงแสดงท่าทียอมรับชะตากรรมต่อเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่มีท่าทีแข็งขืน พร้อมคืน พร้อมให้ปรับ มิหนำซ้ำยังแสดงถึง ความกว้างขวางว่าชอบพอทุกสีทุกกลุ่มหลังจากนั้น อีกไม่กี่วันต่อมา ก็มองเห็นการส่งสัญญาณหาทางลงให้กับเจ้าพ่อโบนันซ่า อย่างเนียนๆ จากหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างส.ป.ก. และดูแล้วคงไม่แตกต่างไปจากกรณี เขายายเที่ยงโมเดล เท่าใดนัก จากท่าทีขึงขังจะฟ้องขับไล่ ไปๆ มาๆ ก็มีกระแสข่าวจาก ส.ป.ก. ว่า อาจจะแค่เชิญมาเจรจาหารือขอให้ออกจากพื้นที่แต่โดยดีเพื่อจะไม่ต้องส่งเรื่องไปให้อัยการฟ้องขับไล่
ส่วนการชดใช้ค่าเสียหายและทำให้ที่ดินกลับคืนสู่สภาพเดิมนั้น ไม่ว่าจะให้หลักเกณฑ์ใดมาเรียกค่าเสียหาย ก็คงไม่ทำให้ขนหน้าแข็งเจ้าพ่อเรียลเอสเตรทผู้ยิ่งใหญ่ร่วง และไม่มีปัญหาที่จะทำตามข้อเรียกร้องของหน่วยงานรัฐอยู่แล้ว เพื่อแลกกับให้เรื่องเงียบหายไป เป็นบทสรุปตอนจบเช่นเดียวกับหลายๆ กรณีที่ผ่านมาที่เรื่องราวค่อยๆ สร่างซาไป รอจนกระทั่งผู้มีอำนาจต้องการคล้องบ่วงรัดคออีกครั้ง ข่าวครึกโครมผู้มีอิทธิพลบุกรุกป่าสงวนจึงจะโด่งดังขึ้นมาอีกครั้ง
อาจจะด้วยเหตุฉะนี้หรือไม่ ทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้นมา หน่วยงานที่รับผิดชอบจึงมักออมแรงไม่ลงมือจัดการกับผู้มีอิทธิพลบุกรุกที่หลวงอย่างเด็ดขาด และที่ผ่านมานับจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ คิกออฟปฏิบัติการยึดคืน ส.ป.ก. 5 ล้านไร่ เพื่อนำมาแจกให้เกษตรกร โดยขีดเส้นให้เสร็จภายใน 3-6 เดือน ตั้งแต่การเรียกประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2557 รวมถึงการตรวจสอบ ส.ป.ก.ที่จัดสรรไปแล้ว 36 ล้านไร่ หากพบการนำที่ดินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ หรือผู้ถือครองไม่มีคุณสมบัติให้เพิกถอนมาจัดสรรใหม่ แต่ถึงวันนี้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่สามารถตรวจสอบส.ป.ก.ที่จัดสรรไปแล้ว 36 ล้านไร่ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากนัก หรือทว่าในพื้นที่ส.ป.ก.ที่จัดสรรไปแล้ว 36 ล้านไร่นั้น ก็มีกลุ่มคนมีสีพรรคพวกเดียวกันอยู่ด้วยใช่หรือไม่
สุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรโบนันซ่า วังน้ำเขียว เขาแพง เขายายเที่ยง ฯลฯ ที่สุดแล้วก็คงจบแบบลูบหน้าปะจมูก ก็เท่านั้น นั่นเป็นสิ่งที่ผู้คนในสังคมคาดหมายจากที่เคยได้รับรู้และสัมผัสมาตลอดกระนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็น่าเสียดายต่อผลของการปฏิรูปที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติอุตส่าห์ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ เสี่ยงชีวิตเข้ามาทำการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองจากระบบการเมืองแบบเดิม ๆ และคาดหวังไว้อย่างเลิศหรูอลังการณ์ว่า ประเทศชาติจะถูกปรับเปลี่ยนให้ก้าวไปสู่วังวนใหม่ ที่พ้นไปจากวงจรอุบาทว์เสียที คงจะล้มเหลว เพ้อฝัน หรือมโน ไปเปล่า ๆ ฟรี ๆ
ในระยะเวลาต่อจากนี้ไปที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. จะยังคงอยู่ในอำนาจในตำแหน่งทางปกครองสูงสุดทั้งสองตำแหน่งดังกล่าว จะสามารถเรียกคืนความศรัทธาต่อพี่น้องประชาชน และปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ของแผ่นดิน โดยการเรียกคืนผืนป่า และที่ดินที่สมควรให้เกษตรกรที่ยากจนไร้ที่ดินทำกิน ได้มีสิทธิมีส่วนในการใช้ประโยชน์จากที่ดินของรัฐตามเจตนารมณ์ของการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้อย่างแท้จริง
การใช้อำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 มาตรา 44 อย่างสร้างสรรค์นั้นสามารถทำได้ ซึ่งก็ได้ริเริ่มออกมาแล้วนั้นคือ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 4/2558 เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายที่คุ้มครองประโยชน์สาธารณะและประชาชนโดยส่วนรวม
หากแต่ ณ วันนี้รูปธรรมที่จะสะท้อนความเอาจริง เอาจังจากพนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร และหน่วยงานราชการต่าง ๆ ยังไม่ชัดเจนนัก เพราะมองไปในพื้นที่ ส.ป.ก. พื้นที่ใกล้ป่าแห่งใด ก็ยังมีรีสอร์ท โรงแรม บ้านพักของนายทุนที่แสร้งอ้างเป็นเกษตรกรตัวเก๊อยู่เต็มไปหมด...ปฏิบัติการทั่วไปไทยเลยครับ...
ที่มา : สยามรัฐ วันที่ 23 เม.ย. 2558
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.