โดย...เสรี พงศ์พิศ /www.phongphit.com
โลกเปลี่ยน ใครไม่เปลี่ยน ไม่เรียนรู้ก็อยู่ไม่ได้ ถึงอยู่ได้ก็ถูกเขาโกง ถูกเขาหลอก ถูกเขาเอาเปรียบได้ง่าย นี่หมายถึงคนทั่วไป แต่ถ้าคนที่มีอำนาจ ไม่ว่าทางเศรษฐกิจหรือสังคมและการเมือง การที่ไม่เปลี่ยนคงเป็นเพราะต้องการรักษาอำนาจ รักษาผลประโยชน์เอาไว้
น่าแปลกใจไหม ที่ประเทศไทยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ส่งข้าวออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่กลับทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับโลกที่เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่โลกที่จะบริโภคอะไรก็ได้ ยิ่งราคาถูกยิ่งดีแบบแต่ก่อน วันนี้เขาไม่ได้กีดกันการค้าด้วยภาษี แต่ด้วยดัชนีสารเคมีในผลผลิต
วันนี้โลกต้องการกินอะไรที่ไม่เป็นพิษ ไม่ต้องการอาหารปนเปื้อนสารเคมี ถ้ามีน้อยๆ ร่างกายก็พอจะขับออกมาได้ แต่ถ้ามากเกินไป คนก็ป่วย เสียเงินรักษา เสียงบประมาณประเทศ ซึ่งแพงกว่าราคาผลผลิตที่ปลอดสารเคมี หรืออินทรีย์มากนัก
น่าแปลกใจที่รัฐบาลนี้ไม่ได้มีมาตรการอะไรพิเศษเพื่อส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการภาษี มาตรการการส่งเสริม-อุดหนุนซึ่งมีมากมายหลายวีธีที่เขาทำกันทั่วโลก รวมทั้งการควบคุมการนำเข้าปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืชสารพัดชนิด ประเภทที่หลายประเทศเขาห้าม เมืองไทยยังใช้หน้าตาเฉย จนอียูห้ามผักเข้าประเทศนั่นแหละถึงได้รู้สึกบ้าง
ถ้าเป็นรัฐบาลเมื่อก่อนก็ยังพอเข้าใจ เพราะนักการเมือง พ่อค้า ข้าราชการรวมหัวกันได้ประโยชน์จากการค้าสารเคมี ปุ๋ย ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลงและศัตรูพืชต่างๆ แต่วันนี้ที่มีรัฐบาลจากรัฐประหารที่ประกาศคืนความสุขให้ประชาชน แต่ไม่มีมาตรการที่แตกต่างไปจากรัฐบาลที่ถูกไล่ลง แล้วจะไม่ให้คนตั้งคำถามได้อย่างไร พวกท่านมีวิสัยทัศน์ที่มองทะลุอย่างที่ประกาศ หรือว่ามีผลประโยชน์จนอยากลูบหน้าแต่ไปปะจมูก ทำอะไรไม่ถูกเหมือนที่แล้วๆ มา
ลองคิดดูว่า วันนี้มีเกษตรกรจำนวนมากที่ได้เข้าใจมานานแล้วว่า ทางเลือกที่ดีกว่าการปลูกข้าวเพื่อเข้าโครงการรับจำนำ คือ การปลูกข้าวอินทรีย์ ข้าวพันธุ์ต่างๆ ที่ไม่เป็นเพียงอาหารแต่เป็นยา ไม่ว่าข้าวสังข์หยด ข้าวหอมนิล ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวไรซเบอรี่ และอื่นๆ
ข้าวเหล่านี้ขายได้ตั้งแต่เกวียนละ 20,000-30,000 บาท ถ้าสีเป็นข้าวกล้องก็สามารถขายได้ถึงเกวียนละไม่ต่ำกว่า 40,000 บาท มีตลาดรองรับ ไม่ว่าตลาดท้องถิ่นหรือตลาดใหญ่ในห้างที่มีความต้องการสูง รวมทั้งต่างประเทศที่เรียกร้องต้องการมาก แต่ผลผลิตไม่เพียงพอ
วันนี้คนไม่กินข้าวกล้อง อาจไม่ใช่เพราะไม่เห็นคุณค่า แต่เพราะไม่มีขายในร้านอาหารทั่วไป ไม่มีการณรงค์ส่งเสริมอย่างจริงจัง ถ้าร้านอาหารทั่วไปขายข้าวกล้องจานละ 5 บาท ข้าวกล้องผสมข้าวขาว 10 บาท ข้าวขาวจานละ 20 บาท ลองดูว่าคนจะหันมาบริโภคข้าวกล้องหรือไม่ หรือไม่งั้น ใครสั่งข้าวกล้องไม่ต้องเสียเงิน ใครกินข้าวขาวจ่ายจานละ 10 บาท เริ่มจากร้านอาหารในสถานที่ราชการและเอกชน
สมัยที่รัฐบาลอยากให้คนหันไปใช้น้ำมันไร้สารตะกั่ว ทำไมจึงสร้างแรงจูงใจด้วยการทำให้ราคาน้ำมันไร้สารถูกกว่าน้ำมันธรรมดา และยืนยันด้วยว่า ประสิทธิภาพไม่ได้ด้อยกว่ากัน ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นด้วย ทำไมรัฐไม่รณรงค์ให้คนกินข้าวกล้องโดยการอุดหนุนราคาข้าวกล้อง ให้คนกินข้าวขาวราคาแพง เพราะ กินข้าวกล้องไม่ต้องไปหาหมอ กินข้าวขาวเป็นเบาหวานทั้งเมือง
มูลนิธิ สมาคม ชมรมเพื่อผู้บริโภคทั้งหลายน่าจะร่วมมือกันรณรงค์การกินข้าวกล้อง ข้าวอินทรีย์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ให้พวกเขาขายข้าวได้ราคาดีโดยไม่ต้องมีโครงการจำนำหรือประกันราคา มีแต่โครงการอุดหนุนข้าวกล้องข้าวอินทรีย์ ซึ่งรัฐบาลไม่ต้องลงทุนเป็นแสนๆ ล้านอย่างจำนำข้าว
รัฐบาลมีมาตรการมากมายที่ทำได้เพื่อลดการใช้สารเคมี และให้คนหันมาค้นหาวีธีการทำการเกษตรอินทรีย์ให้มากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนที่เราพยายามส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน ที่วันนี้ยังเป็นพลังงานทางเลือก แต่หลายประเทศในโลกตั้งเป้าไว้แล้วว่า ไม่กี่สิบปีข้างหน้า พลังงานทางเลือกคือพลังงานหลัก
ถ้าวันนี้คนไทยเริ่มผลิตข้าวอินทรีย์ เริ่มกินข้าวกล้อง และสุขภาพดี นอกจากคุณภาพชีวิตจะดีแล้ว เศรษฐกิจจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน เพราะระยะยาว เกษตรอินทรีย์ให้ผลผลิตที่ดีกว่า ยั่งยืนกว่า สร้างรายได้ดีกว่า สุขภาพเกษตรกรผู้ปลูกและผู้บริโภคก็จะดีกว่าอย่างแน่นอน
วันนี้โลกต้องการข้าวอินทรีย์มาก แต่ไทยไม่มีปัญญาผลิตให้ จึงต้องตั้งคำถามว่า กระทรวงเกษตรฯ ทำอะไรอยู่ มีความจริงใจในการส่งเสริมเกษตรกรให้รอบด้านแบบคน มองทะลุ อย่างที่นายกฯ ประกาศได้ไหม ถ้าทำไม่ได้ก็ควรหาคนที่มีวิสัยทัศน์ เข้าใจโลก เข้าใจศักยภาพของคนไทยไปนั่งแทนดีกว่า
ปัญหาเร่งด่วนอาจเป็นเรื่องที่ดินทำกิน แต่ถ้ามีที่ดินแล้วทำกินเหมือนเดิม ขายผลผลิตไม่ได้ราคา เป็นหนี้เป็นสิน สุดท้ายก็ขายที่ดิน ขายสิทธิ์ ย้ายไปหาที่ทำกินใหม่ ไม่เข้าป่าก็เข้าเมืองเหมือนเดิม เรามีเงินสร้างรถไฟฟ้าหลายแสนล้านให้คนเมือง เราไม่มีเงินส่งเสริมการเรียนรู้และการอุดหนุนเกษตรกรให้ปลูกข้าวอินทรีย์ อาหารอินทรีย์ด้วยวิธีการร้อยแปด ให้เกษตรกรอยู่ได้ ให้คนไทยมีสุขภาพดี โลกเปลี่ยนไป เมืองไทยไม่มีจินตนาการใหม่ ตามโลกไม่ทัน ไม่มีทางหลุดจากหลุมพรางการพัฒนา
ที่มา : สยามรัฐ วันที่ 20 ม.ค. 2558
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.