นับแต่มีการยึดอำนาจเป็นต้นมา ข่าวคราวที่ประชาชนได้เห็นกันเป็นประจำก็คือการไล่จับพวกตัดไม้เถื่อน และการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติหรืออุทยานแห่งชาติ รวมทั้งการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่ได้ปลูกในที่ดินเหล่านั้น
เพราะข้อหาบุกรุกป่าสงวนหรือบุกรุกอุทยานนั้นเป็นข้อหาเชิงลบ ไม่ว่าใครก็ตามหากถูกข้อกล่าวหาชนิดนี้ก็จะถูกสังคมมีความรู้สึกหรือตราหน้าว่าเป็นคนชั่วช้าเลวทราม จนเสียผู้เสียคนไปเป็นอันมาก
โดยที่สื่อซึ่งเสนอข่าวก็ดี โดยที่สังคมซึ่งรู้สึกนึกคิดไปอย่างนั้นก็ดี แทบไม่รู้สภาพและความเป็นไปเป็นมาเลย ดังนั้นกระแสจัดการกับพวกบุกรุกลักษณะนี้จึงมีขึ้นตลอดมาไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน และในที่สุดก็กลายเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งหรือจัดการกับคู่ขัดแย้ง โดยที่ปัญหาใหญ่ไม่เคยได้รับการแก้ไขเลย
ดังนั้น คสช.ก็ดี พี่น้องทหารตำรวจก็ดี หรือแม้รัฐบาลที่จะมาดำรงตำแหน่งกันในวันข้างหน้าก็ดี จึงควรจะได้ทำความเข้าใจในเรื่องนี้กันให้ดี เพราะการตกไปเป็นเครื่องมือของคู่ขัดแย้งไม่ว่าฝ่ายไหนเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่าทั้งนั้น
และต้องบอกกล่าวเสียให้รู้โดยทั่วกันว่า “ป่าสงวน” ก็ดี หรือ “อุทยานแห่งชาติ” ก็ดี หรือ “วนอุทยาน” ก็ดีนั้น ที่คนทั้งหลายเข้าใจกันกับที่กฎหมายบัญญัตินั้นเป็นคนละเรื่อง
คนทั้งหลายจะเข้าใจว่าป่าสงวนแห่งชาติ หรืออุทยานแห่งชาติ หรือวนอุทยาน เป็นป่าไม้ดกรกครึ้มและอุดมสมบูรณ์ แล้วจู่ๆ ก็มีคนชั่วร้ายที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเข้าไปโค่นทำลายป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์นั้นเสีย แล้วยึดครองเป็นของตนเอง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดมหันต์
เพราะคำว่า “ป่าไม้” ก็ดี “อุทยานแห่งชาติ” ก็ดี “วนอุทยาน” ก็ดีนั้น ความหมายในกฎหมายที่บัญญัติหมายถึงที่ดิน ที่ถูกกำหนดว่าเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือเขตอุทยานแห่งชาติ หรือวนอุทยาน โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องมีต้นไม้หรือไม่ หรือว่าเป็นบ้านเป็นเมืองอยู่หรือไม่
ต่อให้ผู้คนอยู่กันมาตั้งแต่สมัยก่อตั้งกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี หรือต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ไม่ว่าจะมีวัดวาอาราม มีโรงเรียน มีสถานที่ราชการ มีถนนหนทาง มีสาธารณสุขก็ตาม หากถูกขีดเส้นเป็นรูปแผนที่ว่าเป็นป่าสงวนแห่งชาติหรืออุทยานแห่งชาติ หรือวนอุทยานแล้ว พื้นที่เหล่านั้นก็จะกลายเป็นป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ หรือวนอุทยานตามกฎหมาย และทำให้ผู้คนทั้งหลายไม่ว่าพระสงฆ์องค์เจ้า ไม่ว่าคนเฒ่าคนแก่หรือลูกเด็กเล็กแดงทั้งหลายหรือใครก็ตามที่อยู่ในพื้นที่นั้นต้องกลายเป็นผู้กระทำผิดตามกฎหมายไปทั้งหมด
และเป็นต้นทางที่คนทั้งหลายซึ่งเข้าใจผิดจะเหยียดหยามประณามว่าเป็นคนชั่วช้าเลวทรามบุกรุกที่หลวง จนเกิดเป็นกรณีพิพาทระหว่างรัฐกับราษฎรมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2484 ซึ่งเป็นปีที่มีการตราพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติเรื่อยมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ราษฎรผู้ยากทั้งหลายที่อยู่ในพื้นที่เหล่านี้แล้วถูกดำเนินคดีเป็นที่เวทนาเป็นข่าวคราวเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ถึงความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองไม่เคยจบไม่เคยสิ้นจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ข่าวคราวความไม่เป็นธรรมเหล่านั้นเกิดขึ้นทั้งสื่อมวลชนและคนทั้งหลายก็จะรุมกันด่าเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ป่าไม้ว่าเป็นผู้โหดร้าย โหดเหี้ยมอำมหิตกับคนไทยด้วยกัน ทำไมถึงทำกับคนไทยด้วยกันลงคอได้ถึงปานนั้น
หนักเข้าก็รุมกันด่าศาลว่าแค่ไปเก็บเห็ดในป่าถูกจำคุก 3 ปี แต่ทีโกงบ้านกินเมืองเป็นแสนๆ ล้านกลับลอยนวล ว่าไปโน่น!
บางครั้งก็ร้อนถึงพระเจ้าอยู่หัวเพราะมีการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ซึ่งปกติราษฎรผู้ยากก็จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยโทษ หรืออย่างน้อยๆ ก็พระราชทานความช่วยเหลือให้อยู่ให้กินได้ตามปกติ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่คนทั้งปวงที่เกิดมาในแผ่นดินนี้เป็นล้นพ้น
บางรายนอกจากขอรับพระมหากรุณาธิคุณขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว ยังขอยืมเงินจากพระองค์ท่านมากินมาใช้อีก ซึ่งก็มักจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างเดียวกัน
เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำซากและเกิดขึ้นไม่หยุด จนกระทั่งถึงปีหนึ่งที่มีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีกระแสพระราชดำรัสเตือนสติคนทั้งปวงว่า กรณีแบบนี้เป็นเรื่องของคนบุกรุกป่า หรือว่าเป็นเรื่องของป่าบุกรุกคนกันแน่
ก็เข้าใจได้ว่าทรงให้สติแก่คนมีอำนาจทั้งหลายว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไรกัน คือเป็นเรื่องที่ราษฎรครอบครองทำกินมาก่อน แล้วไปขีดเส้นเป็นเขตป่า ทำให้ราษฎรเหล่านั้นกลายเป็นคนผิดกฎหมาย หรือว่าได้ประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้ว ราษฎรจึงบุกรุกเข้าไปกันแน่
จึงเป็นเรื่องที่คนมีอำนาจทั้งหลายรวมทั้งสื่อมวลชนและคนทั้งปวงจะได้ตั้งสติยั้งคิดกันเสียบ้างว่ากรณีแบบนี้เรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่ คือเป็นเรื่องคนบุกรุกป่าซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย หรือว่าเป็นเรื่องป่าบุกรุกคน ซึ่งเป็นเรื่องของการทำงานแบบส่งเดชและข่มเหงรังแกราษฎรเพราะไปประกาศเป็นเขตป่า โดยที่มิได้กันพื้นที่ที่ราษฎรครอบครองทำประโยชน์นั้นออกไปก่อนตามที่กฎหมายบัญญัติ
ขอเพียงมีความสำนึกตามที่ทรงเตือนไว้เท่านั้น ความร่มเย็นเป็นสุขก็จะเกิดขึ้นในบ้านเมือง จึงควรที่ คสช. และรัฐบาลจะได้น้อมนำเอากระแสพระราชดำรัสนี้ไปประพฤติปฏิบัติให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขโดยทั่วไป ไม่กลายเป็นเครื่องมือของใครๆ เพื่อเบียดเบียนคนอื่นดังที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
อันแผ่นดินประเทศไทยนั้นมีเนื้อที่รวมประมาณ 320 ล้านไร่ นับแต่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 มีพระบรมราโชบายออกโฉนดพระราชทานแก่ราษฎรที่ครอบครองทำประโยชน์มาจนถึงบัดนี้ ได้มีการออกโฉนดที่ดินและเอกสารสิทธิ์ทุกชนิดรวมกันเพียง 120 ล้านไร่
เศรษฐกิจของประเทศชาติและบ้านเมืองเจริญก้าวหน้าก็เพราะได้อาศัยที่ดิน 120 ล้านไร่นี่แหละ
ยังมีที่ดินอีกประมาณ 100 ล้านไร่ ที่ราษฎรครอบครองทำประโยชน์อยู่ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ แต่ไม่ทันออกเอกสารสิทธิ์ตามพระบรมราโชบายของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ก็มีการออกกฎหมายให้ส่วนราชการ 8 หน่วย เป็นเจ้าของที่ดินเหล่านั้นเสีย โดยที่ราษฎรซึ่งได้รับพระบรมราชานุญาตมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาไม่ได้รู้เห็นยินยอมด้วย
ที่ดินที่ราษฎรครอบครองทำประโยชน์ทั่วประเทศราว 100 ล้านไร่ดังกล่าวนี้เป็นบ้านเป็นเมือง อย่างต่ำที่สุดก็มี อบต.ตั้งอยู่รวมกันกว่า 4,000 แห่งจากจำนวนทั้งหมดประมาณ 8,000 แห่ง โดยที่คนทั้งหลายในพื้นที่เหล่านี้เป็นผู้ที่มีความผิดตามกฎหมายซึ่งบุกรุกที่ราษฎรทั้งสิ้น
เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและผู้มีอำนาจทั้งหลายที่ต้องจำเริญพระบรมราโชบายของพระเจ้าแผ่นดิน ออกโฉนดที่ดินให้แก่ราษฎรผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินประมาณ 100 ล้านไร่นี้ ก็จะทำให้ประเทศไทยมีพลังทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัว
ส่วนที่เป็นป่าจริงๆ ราว 100 ล้านไร่ที่เหลือนั่นแหละที่ต้องอนุรักษ์ไว้ จะต้องออกโฉนดที่หลวงและอพยพผู้บุกรุกทั้งหลายออกไปจากพื้นที่นี้โดยเฉียบขาด
อย่างนี้จึงจะเรียกว่าเป็นการปฏิรูปที่ดินที่แท้จริง!
ที่มา : ผู้จัดการ วันที่ 13 ส.ค. 2557
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.