สุวาณี ฉัตรชัยชัชวาล ซบใบหน้าที่หยาบกร้านลงกับฝ่ามือของตน เมื่อถูกถามว่าเพราะอะไรถึงไม่ค่อยมีรอยยิ้มเอาเสียเลย
ชาวนาวัย 50 ปีเศษจาก จ.พระนครศรีอยุธยา ผู้ซึ่งมาร่วมเสนาเรื่อง พลิกวิกฤติข้าว ฟื้นชีวิตชาวนาที่จัดโดยรายการเวทีสาธารณะ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ตอบคำถามที่ทำให้ทั้งเวทีเงียบงันไปชั่วขณะ
“มันยิ้มไม่ออก ดอกธนาคารมันเดินตลอด… เครียด…” สุวาณี กล่าวปนเสียงหัวเราะขื่นๆ “…ตอนได้เงินก็ชื่นใจ แต่ตอนจ่าย มันหมดกำลังใจ”
เพียงไม่กี่วันมานี้ สุวาณีได้รับเงินค่าจำนำข้าวที่ค้างมาว่า 4 เดือน แต่ในเวลาไม่นานนัก เงิน 3.5 แสนบาทที่ได้รับ ก็ถูกใช้ไปกับหนี้ก้อนใหญ่ที่สุวาณีมีมาก่อนหน้านี้
“ค่าปุ๋ย ค่ายา ยังไม่ได้จ่ายเลย เอาแต่ไปจ่ายธนาคาร” สุวาณีเล่าให้ผู้มาร่วมเสวนาฟัง “…ลงทุนปลูกใหม่ไปคราวนี้… ต้นทุนสูงเกินราคาที่จะขายได้ ก็ขาดทุนอีกแล้ว”
เรื่องราวของชาวนาอย่างสุวาณี ยังคงเป็นเรื่องเล่าซ้ำๆ ในสังคมไทย แม้ว่าจะมีความพยายามของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ได้มีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการจ่ายเงินค่ารับจำนำข้าวที่ยัง คงติดค้างให้ชาวนากว่า 8 แสนราย
องค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชาวนาต่างระบุว่า แม้เงินค่าจำนำข้าว จะช่วยแก้ไขปัญหาให้ชาวนาในระยะเร่งด่วน แต่การแก้ไขปัญหาระยะยาวไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากรากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการผลิตข้าวและชาวนา ไม่ได้ถูกทบทวนด้วย
กิมอัง พงษ์นารายณ์ ที่ติดตามปัญหาหนี้สินมานานนับปี ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า พี่น้องชาวนาล้วนมีสภาพไม่ต่างกันมาก คือเงินที่ได้รับมาไม่พอใช้หนี้ แม้จะมีความพยายามในการฟื้นฟูอาชีพให้แก่ชาวนา แต่หนี้ที่พวกเขามีนั้นก้อนใหญ่เกินกว่าที่จะทำให้พวกเขาริเริ่มทำอะไรอย่าง อื่นได้
จากข้อมูลของเครือข่ายหนี้สินฯ มีเกษตรกรเกือบ 5 แสนคน ที่มาขึ้นทะเบียนหนี้กับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร โดยมีมูลค่าหนี้รวมเป็นเงินกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท
นับตั้งแต่ปี 2546 ทางกองทุนฯ สามารถช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สินให้เกษตรกรที่มาขึ้นทะเบียนได้เพียงราว 2 หมื่นคนเท่านั้น
กิมอัง เสนอว่า หากจะช่วยให้ชาวนาได้มีโอกาสฟื้นฟูอาชีพได้นั้น โจทย์ใหญ่ที่ต้องแก้ไขเป็นเรื่องแรกคือเรื่องหนี้สินของชาวนานั่นเอง
“ตอนนี้ เฉลี่ยก็เป็นหนี้กันคนละ 3 แสน” กิมอัง แลกเปลี่ยนในเวทีสาธารณะ “จะต้องมีการจัดการหนี้ให้ได้เพื่อก้าวไปสู่การฟื้นฟูอาชีพ”
พงษ์ทิพย์ สำราญจิตต์ ผอ.กลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน เป็นอีกผู้หนึ่งที่ทำการศึกษาวิจัยปัญหาการผลิตข้าวและหนี้สินชาวนามาเป็น เวลาหลายปี
จากการศึกษากลุ่มชาวนาภาคกลางในปีที่ผ่านมาพบว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ชาวนาต้องมีการลงทุนสูงและเกิดเป็นหนี้สะสมคือ การใช้เงินไปกับเรื่องของปัจจัยการผลิตซึ่งมีสัดส่วนกว่า 50% ของต้นทุน
ในขณะที่ชาวนามีความเสี่ยงทางด้านการตลาดสูง ต้นทุนและดอกเบี้ยที่ชาวนาต้องแบกรับในการผลิตแต่ละรอบก็ได้สร้างแรงกดดัน ให้แก่ชาวนา
พงษ์ทิพย์ กล่าวว่า ดอกเบี้ยของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มีเพดานขยับขึ้นไปถึงเกือบ 20% หากชาวนาผิดนัดชำระหนี้ และนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวนาไม่สามารถชำระหนี้คืนได้และทำให้ ทรัพย์สินของพวกเขาถูกขายทอดตลาด
พงษ์ทิพย์ เสนอว่าต้องให้ธนาคารหยุดขายทรัพย์สินของชาวนาทอดตลาด และให้มีการโอนหนี้ของชาวนาเข้ากองทุนฯ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้
“หนี้สินเป็นสิ่งที่ทำให้ชาวนาติดลบ” พงษ์ทิพย์ แลกเปลี่ยนในเวทีสาธารณะ “ถ้าเราเดินหน้าได้แล้ว เราจะสามารถก้าวข้ามจุดนี้แล้วปรับระบบการผลิต ทำเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ”
ควบคู่ไปกับการจัดการหนี้สินในระยะเร่งด่วน พงษ์ทิพย์ เสนอว่าผู้มีอำนาจรัฐควรเข้ามาช่วยควบคุมราคาของปัจจัยการผลิตในระยะสั้น หรือ 6 เดือนข้างหน้านี้ เพื่อช่วยลดแรงกดดันที่มีต่อชาวนา
“แล้วก็มาดูเรื่องที่ดินซึ่งค่าเช่านาเวลานี้อยู่ในราว 25-30% ของต้นทุนการผลิต” พงษ์ทิพย์กล่าว “…แล้วถ้าปรับจากการใช้สารเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์ จะช่วยลดต้นทุนได้จาก 6,000-8,000 บาท เป็น 2,000-4,000 บาทต่อไร่ แล้วต่อไปก็เป็นเรื่องการแปรรูป การตลาดที่ต้องมาดู”
ปราโมทย์ วานิชานนท์ อดีตกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) กล่าวว่า เรื่องวิกฤติข้าวที่เกิดขึ้นสามารถมองได้สองมิติ
“ที่ผ่านมา มักมีการใช้เงินทุ่มไปกับการจัดการแก้ปัญหากลไกการตลาดของข้าว ไม่ว่าจะเป็นนโยบายประกันราคาหรือโครงการรับจำนำข้าวต่างต้องใช้เงินของรัฐ นับหมื่นๆ ล้านบาท
ในขณะที่มีการใช้เงินรัฐไปกับเรื่องราคาในตลาด แต่กลับพบว่า มีการพัฒนาระบบผลิตและคุณภาพชีวิตชาวนาน้อยมาก ราว 300-400 ล้านบาทต่อปี
“นี่เป็นปัญหาของชาวนาที่ไม่เคยได้รับการแก้ไข” ปราโมทย์ กล่าวในเวทีฯ
“ถึงวันนี้เรากำลังติดกับดัก เราเอาแต่ผลิตจนมากเกินไปหรือเปล่า เราอาจจะส่งข้าวออกเป็นอันดับหนึ่งในด้านปริมาณ แต่ชาวนาก็ยังจนอยู่ดี
ถ้าหากปรับวิธีคิดเกี่ยวกับการผลิตข้าวโดยใช้แนวคิดออกแบบคล้ายสินค้า อุตสาหกรรม การผลิตข้าวจากนี้ไปจะสามารถกำหนดได้ตั้งแต่แรกเริ่มว่าจะผลิตข้าวอะไรเพื่อ ป้อนตลาด เพื่อเอาไปขายที่ไหน แต่ที่ผ่านมา ยังไม่มีนโยบายเชิงการตลาดที่จะช่วยสนับสนุนการผลิต ด้วยเหตุดังกล่าว ประเทศไทย จึงปลูกข้าวที่ขาดทุนตั้งแต่ปลูก
ในอนาคต เรามีศักยภาพในสายพันธุ์ข้าวที่มีอยู่ ดังนั้น เราจะไม่ปลูกข้าวขายจากการกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์อีกแล้ว แต่จะขายข้าวตามสายพันธุ์แล้วไปตลาดที่มีมูลค่าสูงไม่ต่ำกว่าหมื่นบาทต่อตัน ขึ้นไป” ปราโมทย์ กล่าวในเวทีสาธารณะ
“เราต้องมาช่วยกันคิดออกแบบ ที่พูดนี่ไม่ใช่เรื่องความฝัน แต่ดูจากพื้นฐาน เรามีจุดแข็งหลายจุด แต่เราไม่เคยมีแผนไปสู่เป้าหมายที่เราอยากจะเห็นเลย”
เขาเห็นด้วยกับข้อเสนอของเครือข่ายหนี้สินฯ ที่ควรมีการส่งเสริมให้ชาวนารวมกลุ่มเพื่อการผลิตแปรรูปข้าวส่งตลาดภายใน ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นนโยบายคู่ขนาน และอาจกล่าวได้ว่าเป็นนโยบายที่ถูกต้องที่สุดและจะเป็นทางรอดของชาวนาและ ประเทศไทย
รศ.สมพร อิศวิลานนท์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ สถาบันคลังสมองของชาติ กล่าวว่า การแก้ปัญหาในระยะกลางและระยะยาว อาจต้องเอาตลาดและผู้บริโภคเป็นตัวตั้งและผลิตสินค้าข้าวตามความต้องการที่ หลากหลาย ซึ่งมีความเป็นไปได้โดยหน่วยงานรัฐ อาทิ กรมการข้าว เข้ามามีส่วนช่วยเกษตรกรปรับการผลิต
“ในช่วงเวลาที่จะมีการปฏิรูปเกิดขึ้นนี้ คสช.ควรมองในส่วนของกลไกขับเคลื่อนอันได้แก่ กรรมการนโยบายข้าวฯ ซึ่งที่ผ่านมาไม่ค่อยดำเนินการเรื่องการพัฒนาระบบ"
และแนะนำว่า กรรมการที่ปรับปรุงใหม่ควรเปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่างๆ (stakeholders) เข้ามามีส่วนในการดูแลนโยบายร่วมกัน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการถ่วงดุลในทุกมิติ และเกิดความเป็นธรรมในที่สุด
“เป็นจังหวะดีที่ คสช.จะรื้อคณะกรรมการนโยบายข้าวเสียใหม่ เดิมมีนายกฯ ปลัดกระทรวงต่างๆ แต่ไม่มีตัวแทนชาวนาหรือผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ถ้าทำได้ก็จะเป็นการสนับสนุนชาวนา กลุ่มผู้ประกอบการ และถ้าเราทำแบบนี้ได้ก็จะเป็นการรวมกลุ่มที่แท้จริงที่ก่อให้เกิดความเข้ม แข็งของระบบได้” รศ.สมพร แสดงทัศนะ
ปราโมทย์กล่าวว่า นโยบายใหม่ที่จะเกิดขึ้นจะเป็นนโยบายที่เกี่ยวกับข้าวของประเทศที่จะไม่ถูก ยึดโยงกับเงื่อนไขทางการเมืองและแปรผันตามการเมืองอีกต่อไปเนื่องจากเป็น นโยบายที่เกิดจากมติของทุกภาคส่วนโดยที่พรรคการเมืองที่เข้ามาบริหารจะไม่ สามารถบิดเบือนนโยบายได้ และจะต้องบริหารจัดการตามนโยบายที่ได้ตกลงกันในหมู่กรรมการมาแล้ว
“ผมไม่ฝัน แต่ผมถาม คสช.วันนี้ ถ้า คสช.สถาปนายุทธศาสตร์ข้าวที่ว่านี้ ซึ่งทุกคนบอกว่า ใช่ มันคืออนาคตของประเทศ ทุกคนบอกว่ามันคุ้มค่ากับการลงทุน ชาวนาเองก็มีความสุข มันก็จะตอบโจทย์ได้หมด ผมถามหน่อยว่าจะมีพรรคการเมืองไหนจะกล้าล้มเลิกมัน”
สอดคล้องกับความเห็นของชาวนาที่ร่วมเวทีฯ การสนทนาว่า หากสิ่งที่เสนอมาทั้งหมดนี้มีการผลักดันให้ทำได้จริง คุณภาพชีวิตชาวนาไทยคงจะดีกว่าที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.