มองจำนำข้าวด้วยสามัญสำนึกชาวนา
การอภิปรายไม่วางใจรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ในประเด็นจำนำข้าวโดยฝ่ายค้าน และวิวาทะของนักวิชาการอาวุโส อาจารย์นิธิ vs อาจารย์อัมมาร/นิพนธ์” เรื่องโครงการรับจำนำข้าวที่กำลังร้อนแรง มีหลายประเด็นที่อยากจะลองคิดต่อด้วยท่าทีที่ไม่ได้คิดว่าจะมีสติปัญญาร่วมวิวาทะกับผู้หลักผู้ใหญ่
เพราะมีค่าใช้จ่ายเรื่องการสี (โรงสีชุมชนส่วนใหญ่รับสีโดยหักเอาข้าวสารไว้ 12% หรือราว 480 บาท) ค่าบรรจุภัณฑ์อีก รวมทั้งค่าขนส่งไปยังผู้บริโภคซึ่งมักมีต้นทุนแพงเนื่องจากทำในขนาดการผลิตที่น้อย รายได้กลับมาก็มีลักษณะเบี้ยหัวแตก สุดท้ายแล้วถ้าเป็นชาวนาที่สมเหตุสมผลเขาจะไม่ทำธุรกิจเช่นนี้ เพราะเข็นข้าวเข้าโรงสีคุ้มกว่า ง่ายกว่า จะมีที่ยังทำอยู่ก็แต่พวกชาวนาดัดจริตหรือกรณีที่มีการสนับสนุนจากองค์กรต่างๆ เท่านั้น
กล่าวโดยสรุป นโยบายประกันราคาส่งเสริมการปลูกข้าวคุณภาพดีอยู่บ้างเล็กน้อย เรื่องกำหนดเกณฑ์ชนิดข้าวที่ไม่ให้มีอายุสั้นจนเกินไป และทำให้การปลูกข้าวคุณภาพดีที่เป็นข้าวนาปีและข้าวพันธุ์ดีโดยเฉพาะการปลูกข้าวอินทรีย์ที่ผลิตเพื่อบริโภคหรือสีขายได้ประโยชน์จากส่วนต่างเงินอุดหนุน ทำให้ต้นทุนต่ำลง
แต่ทิศทางหลักของนโยบายทั้งสองมุ่งส่งเสริมการผลิตข้าวคุณภาพต่ำเหมือนกัน หากมุ่งที่จะให้เกิดการส่งเสริมข้าวคุณภาพดีสำหรับการบริโภค ข้าวอินทรีย์ ฯลฯ จึงยังต้องการความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในเรื่องระบบตลาดรองรับ การสนับสนุนเชิงนโยบายอื่นๆ ที่มากไปกว่าการย้ายจากโครงการรับจำนำมาสู่การประกันราคา ดังจะพิจารณาต่อไป
ทำไมชาวนาจึงชอบจำนำข้าว
ถ้าคิดแบบสามัญสำนึกคำตอบง่ายนิดเดียวคือ ชาวนาที่ไหนต้องชอบการขายข้าวได้แพง ข่าวทีวีตอนเช้าเมื่อสองสามวันก่อนรายงานว่า ราคาข้าวเปลือกทั่วไปตันละ 8,500 บาท ส่วนข้าวเปลือกหอมะลิตันละ 13,500 บาท ราคาจำนำเกวียนละ 15,000 บาท และ 20,000 บาทตามลำดับ นั่นหมายความว่า รัฐช่วยอุดหนุนชาวนาเกวียนละ 6,500 บาท
ในขณะที่นโยบายประกันราคาข้าวเปลือกทั่วไปกำหนดไว้เพียง 12,000 บาท ได้ซึ่งหมายความว่า ชาวนาจะได้ส่วนต่างเพียง 3,500 บาทเท่านั้น คิดง่ายๆ ว่า เมื่อรัฐบาลรับซื้อข่าวเปลือกในราคาจำนำเช่นในปัจจุบัน ทำให้ชาวนาขายข้าวได้แพงกว่าเกวียนละ 3,000 บาท เข้าใจง่ายจะตายไป
อาจมีข้อถกเถียงว่า ในการจำนำข้าวนั้นชาวนาได้ไม่เต็ม 15,000 บาทต่อเกวียน โดยเฉพาะการถูกตัดความชื้น คำตอบง่ายนิดเดียวอีกเหมือนกันคือ การประกันราคาก็ถูกตัดความชื้นเหมือนกัน กรณีประกันราคาที่ 12,000 บาท หากโรงสีรับซื้อที่ราคา 9,000 บาท จะได้ส่วนต่างที่รัฐบาลอุดหนุน 3,000 บาท แต่ราคา 9,000 บาท ต้องมีความชื้นปกติที่ 15% แต่การเกี่ยวด้วยรถเกี่ยวมักมีความชื้นราว 30% จึงถูกหักราว 15 จุดๆ ละ 150 บาท และการรับจำนำก็ถูกหักในตรรกะเดียวกันเมื่อเป็นดังนี้เงินจึงหายไปเหมือนๆ กัน
นี่อาจจะต้องรวมการหักราคาเรื่องสิ่งเจือปนอีก เพราะข้าวที่เกี่ยวโดยรถเกี่ยวและเข้าโรงสีเลยมักจะมีสิ่งเจือปนสูง และไม่มีชาวนาที่ไหนดัดจริตเอาข้าวมาตากและทำความสะอาดด้วยสีฝัดหรือสีโบกเหมือนยุคโบร่ำโบราณ เพราะเพิ่มค่าใช้จ่ายที่ไม่คุ้มกัน (กล่าวคือ ต้องมีลานตาก ยุ้งฉางเก็บ ฯลฯ แต่กรณีเช่นนี้ยังพบในภาคอีสานและภาคเหนืออยู่พอสมควร) แต่ก็ตรรกะเดียวกันคือ ทั้งจำนำหรือประกันก็ถูกหักเหมือนกัน
นอกจากนี้ การประกันราคาภายใต้รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ยังคิดผลผลิตที่ไม่ค่อยเป็นจริง เช่น ในภาคกลางคิดให้เพียงราวไร่ละราว 75 ถัง ทั้งๆ ที่ชาวนามักปลูกข้าวได้ไร่ละ 100 ถัง (เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาชาวนาอินทรีย์ดัดจริตแบบผมเองขนาดเกี่ยวข้าวเขียวๆ สดๆ หนีพายุแกมีทำให้ได้ข้าวแบบไม่เต็มเต็มหน่วย แต่ยังได้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละราว 80 ถัง) เมื่อรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ประกาศรับจำนำข้าวเปลือกทุกเม็ดจะมีใครไม่ชอบบ้าง
เมื่อเป็นดังนี้ สำหรับกลุ่มชาวนาที่ขายข้าวจึงชอบนโยบายจำนำข้าวของคุณยิ่งลักษณ์ จะมีชาวนาบ้าที่ไหนไม่ชอบการขายข้าวได้ราแพงและออกมาร้องเรียนรัฐบาลว่า นโยบายรับจำนำให้เงินอุดหนุนชาวนามากเกินไปเดี๋ยวประเทศชาติจะล่มจม เป็นการทำลายกลไกตลาด ทำลายประสิทธิภาพในการผลิตข้าว ฯลฯ (เช่นเดียวกับที่เราก็ไม่เคยเห็นเจ้าของธุรกิจรถยนต์ออกมาบอกว่า อย่าลดภาษีรถยนต์เลย เดี๋ยวจะทำให้มีคนมาซื้อรถใหม่กันมากแล้วธุรกิจของเขาจะรวยไม่หยุด)
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อคุยกับชาวนาหลายรายเขาเห็นว่าหากนโยบายการประกันราคาข้าวของประชาธิปัตย์ยกระดับราคาให้สูงเท่ากับหรือมากกว่า 15,000 บาท ก็เชื่อได้ว่าชาวนาจะแห่มาชอบด้วยสามัญสำนึกอีกเช่นกัน เพราะเขาก็รู้ว่าการรับจำนำข้าวเปิดโอกาสให้เกิดการโกงได้มากหลายทาง ใครๆ ก็เห็นได้ว่า การประกันรายได้รั่วไหลน้อยกว่าแต่ชาวนาได้น้อยกว่าถ้าเพดานยังอยู่ที่ 12,000 บาท (รวมทั้งการผลผลิตเพียง 75 ถังต่อไร่ดังกล่าว)
ดังนั้น หากประชาธิปัตย์และฝ่ายที่คัดค้านนโยบายจำนำข้าวจะสามารถชักจูงชาวนาให้ไม่ชอบ ก็มีเพียงสองทางเลือกคือ ด้านหนึ่งทำให้นโยบายนี้เป็นเรื่องถาวรและยกระดับการต่อสู้ด้วยเพดานการอุดหนุนให้สูงกว่ารัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์
หรืออีกด้านหนึ่งคือ พูดเหตุผลให้ชาวนาเห็นว่าการอุดหนุนราวเกวียนละ 6,500 บาท มันมากเกินไปและจะทำให้ชาวนารวยมากเกินไป แต่ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา (หรือแม้แต่ในบทความของ อ.อัมมาร/นิพนธ์) ฝ่ายค้านก็ไม่กล้าที่จะหยิบยกประเด็นว่าการตั้งราคาที่ 15,000 บาทไม่สมเหตุสมผล ไม่เหมือนการประกันรายได้ที่มีการคำนวณเอาไว้อย่างดีว่าให้กำไรชาวนาพอลืมตาอ้าปากได้แล้ว
เราจึงเห็นแต่ประเด็นอภิปรายมุ่งไปยังปัญหาการได้ส่วนแบ่งของโรงสี ชาวนาระดับกลาง-รวย และ การทุจริตในกระบวนการการค้าข้าวของรัฐบาล และเลือกกล่าวแต่เพียงว่า หากใช้เงินมากเกินไปเราจะไม่มีใช้ในโครงการสวัสดิการ สังคมต่างๆ
ถึงวันนี้น่าจะเป็นเรื่องดีเมื่อนโยบายการอุดหนุนชาวนาเป็นสิ่งที่ลงรากปักฐานในสังคมแล้ว ที่เหลือจึงเป็นการถกเถียงในกรอบว่าจะช่วยอุดหนุนชาวนาเท่าไร-อย่างไร ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองที่แข่งขันเชิงนโยบายที่จะต้องตอบคำถามกับสังคมว่าจะเอาเงินมาจากไหนและบริหารจัดการอย่างไร ถ้าจะบริหารจัดการด้วยการดัดจริตเป็นแม่ค้าข้าวเสียเองแล้วเจ๊งก็ต้องรับผิดชอบ
ส่วนพรรคการเมืองไหนที่คิดว่า นโยบายของตน (เช่น การประกันรายได้) สมเหตุสมผลกว่าก็ไม่ต้องอมพะนำ ว่ากันออกมาให้ชาวนาได้ฟังกันตรงๆ เลยว่าดีกว่าอย่างไร ในเมื่อชาวนาได้ประโยชน์จากรายได้ที่น้อยกว่าถึงราวเกวียนละ 3,000 บาท ถ้าอยากจะซื้อใจชาวนาหรือสร้างความนิยมก็ขอให้กล้าๆ กันหน่อย
การปรับเชิงนโยบาย
เราจะปรับทางเลือกเชิงนโยบายได้อย่างไร อาจมีหลายคำถาม บางคำถามเป็นเรื่องสำคัญแต่ไม่มีความรู้ก็ขอให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ตอบ เช่น ปัญหาเรื่องการบริหารจัดการข้าวค้างสต็อกและการขายข้าวที่รับซื้อราคาแพงมาเก็บไว้ ที่ผ่านมา เราไม่เห็นรัฐบาลจะตอบคำถามได้ชัดเจนว่า ขายให้ใครได้เท่าใดและที่สำคัญคือ ในราคาเท่าไรด้วย เรื่องแบบนี้ก็เดาได้ว่าถ้าขายได้มากแล้วได้กำไรรัฐบาลที่ไหนก็คงรีบเอาตัวเลขมาเปิดเผย
ประการแรก รัฐบาลควรเข้าไปดูแลกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายจำนำ กลุ่มแรกคือ บรรดาโรงสีชุมชนทั้งหลาย โดยเฉพาะที่มุ่งผลิตข้าวอินทรีย์/ปลอดสาร หรือข้าวที่มีคุณภาพดี โรงสีชุมชนหลายแห่งที่สามารถพัฒนาตลาดเชื่อมโยงกับผู้บริโภคและตลาดต่างประเทศในระบบการค้าที่เป็นธรรม แต่กำลังจะล้มละลายเพราะชาวนาเข็นข้าวเข้าโครงการรับจำนำหมด
ดังกลุ่มสหกรณ์เกษตรอินทรีย์กองทุนข้าวจังหวัดสุรินทร์ที่มีการเชื่อมโยงไปสู่ตลาดในยุโรปประสบปัญหามากเพราะเมื่อช่วงก่อนนโยบายจำนำการรับซื้อข้าวหอมมะลิอินทรีย์จากชาวบ้านได้ในราคา 20 บาท ขณะที่ข้าวเปลือกในตลาดราคาเพียง ก.ก.ละ 16 บาท ช่วงนโยบายจำนำทำให้ต้องซื้อข้าวจากชาวบ้านในราคาที่สูงแต่ก็ทำได้เพียงก.ก.ละ 21.50 บาท เพราะยิ่งซื้อแพงสีข้าวไปขายก็ไม่คุ้ม ผู้บริโภคต่างประเทศก็สามารถหันไปหาตลาดที่อื่น
ทางออกจึงควรจะมีนโยบายที่หลากหลายเพื่อสนับสนุนกลุ่มชาวนาที่รักษาหรือหันมาปลูกข้าวคุณภาพดีและเชื่อมโยงกับโรงสีชุมชนและตลาดข้าวทางเลือก กล่าวคือ อาจจะเป็นการอุดหนุนเงินส่วนต่างโดยใช้นโยบายประกันราคาแต่เพิ่มเพดานเงินให้สูงเท่ากับการรับจำนำคือ 15,000 บาท หรือถ้าแสลงหัวใจไม่อยากเรียกประกันรายได้ก็อาจเรียกเงินอุดหนุนก็ได้ เพราะจะเรียกอย่างไรก็คือเงินที่รัฐเข้าไปอุดหนุนเหมือนกัน และเป็นการอุดหนุนที่ไม่ต้องรับผิดชอบเป็นแม่ค้าเอาข้าวไปหาที่ขายเองอีกด้วย
ยิ่งถ้าเป็นการผลิตข้าวอินทรีย์ก็ยิ่งควรสนับสนุนให้มากขึ้นด้วย เพื่อเป็นแรงจูงใจในการปรับระบบการผลิต แต่สิ่งที่เป็นอยู่ก็คือ ไม่ว่ารัฐบาลไหนๆ ภายใต้นโยบายทั้งจำนำและประกันรายได้ ก็ปล่อยให้ธุรกิจข้าวสารเพื่อการบริโภคถูกผูกขาดโดยบริษัทค้าข้าวถุงไม่กี่แห่งเท่านั้น ไม่มีรัฐบาลไหนๆ สนใจส่งเสริมข้าวคุณภาพดีดังกล่าวนี้เหมือนกัน
ประการที่สอง ถ้าเห็นว่าประเด็นเรื่องการปลูกข้าวหรือเก็บข้าวไว้กินเป็นเรื่องใหญ่ก็น่าจะมีนโยบายอุดหนุนเฉพาะลงไปอีกเช่นนี้ ซึ่งนี่อาจจะเป็นการผสมผสานด้านดีของนโยบายประกันรายได้ของรัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามา ชาวนารายเล็กๆ จะได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น
ประการที่สาม รัฐบาลอาจพิจารณาจำกัดการช่วยเหลือชาวนารวยโดยมุ่งให้ชาวนารายเล็กก็ได้ แต่ต้องดูจากสภาพความเป็นจริงดังที่ได้พิจารณามาแล้ว ผู้คนคงจะเห็นร่วมกันว่า เจ้าที่ดินรายใหญ่ไม่ควรได้รับประโยชน์จากนโยบายอุดหนุน ส่วนเกณฑ์ชาวรวยจะเป็นแค้ไหน อย่างไรก็ว่ากันในรายละเอียดต่อไป
ประภาส ปิ่นตบแต่ง ประชาไท 17-12-55
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.