ปี 2563-2564 ถือเป็นปีแห่งวิบากกรรมซ้ำซ้อนของพี่น้องชาวนาและเกษตรกรอย่างแท้จริง เนื่องจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่ทันจางหาย ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ข้าวราคาตกต่ำ วิกฤตระลอกใหม่จากปัญหาอุทกภัยก็เข้ามาซ้ำเติม จากลมมรสุมพายุ 6 ลูก ระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม 2564 ได้สร้างความเสียหายและกระทบพื้นที่การเกษตรทั่วประเทศกว่า 5.37 ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าความเสียหายส่วนใหญ่ร้อยละ 83 เป็นมูลค่าความเสียหายต่อผลผลิตข้าว ซึ่งอยู่ในที่ลุ่ม และพืชผักร้อยละ 17 คาดว่า GDP ภาคเกษตรปี 2564 ลดลงประมาณ 4,190-5,730 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.2-0.5 (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร)
ทั้งนี้ภาครัฐได้กำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขการช่วยเหลือและเยียวยาเกษตรกรผู้ประสบภัยน้ำท่วมหรือภัยพิบัติ ในปี 2564 เฉพาะเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยจะสรุปข้อมูลความเสียหายและจ่ายเงินเยียวยาภายใน 2 เดือนหลังน้ำลด ดังนี้ กรณีพื้นที่ทำการเพาะปลูกมีพืชตายหรือเสียหายจนไม่สามารถฟื้นฟู หรือเยียวยาให้กลับสู่สภาพเดิมได้อีก ให้ช่วยเหลือตามจำนวนพื้นที่เพาะปลูกที่เสียหายจริง ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ไร่ อาทิเช่น ข้าวไร่ละ 1,340 บาท พืชไร่และพืชผัก ไร่ละ 1,980 บาท ไม้ผลไม้ยืนต้น และอื่น ๆ ไร่ละ 4,048 บาท เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการช่วยเหลือและเยียวยาชาวนาและเกษตรกรผู้ประสบภัยน้ำท่วม ต้องไม่หยุดเพียงแค่เยียวยาความเสียหายบางส่วน ซึ่งอาจไม่ถึงครึ่งของต้นทุนการผลิต ค่าไถ ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าหว่าน ค่าปุ๋ย ค่ายา ที่ชาวนาได้ลงทุนลงแรง เฉลี่ยไร่ละ 3,000-4,000 บาท กรณีชาวนาเช่าเฉลี่ยไร่ละ 5,000-6,000 บาท ความเสียหายจากภัยพิบัติของชาวนาหมายถึงภาระหนี้สินและดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทันที และชาวนาไม่ต้องการผิดนัดชำระหนี้ รู้สึกวิตกกังวลใจเป็นอย่างมาก กลัวว่าเจ้าหนี้จะฟ้องและถูกยึดที่นา จึงเลือกก่อหนี้ใหม่เพื่อใช้หนี้เก่า ชาวนาบางรายในภาวะปกติ ก็จ่ายได้เพียงดอกเบี้ย พอไม่มีกินก็ต้องไปกู้มาใหม่อีก
เมื่อสำรวจมาตรการและนโยบายช่วยเหลือภาระหนี้สินชาวนาและเกษตรกรในภาวะวิกฤตของภาครัฐ ทั้งผลกระทบโควิด และผลกระทบน้ำท่วมที่ผ่านมา หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ภาครัฐนำมาช่วยเหลือและเยียวยาเกษตรกร คือ การพักชำระหนี้ โดยการพักชำระหนี้และสนับสนุนสินเชื่อเพิ่มเติม อาทิเช่น ล่าสุด ธ.ก.ส. ได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วม ปี 2564 ดังนี้ 1) มาตรการพักชำระหนี้ โดยการพักชำระหนี้ไม่เกิน 12 เดือน และไม่คิดดอกเบี้ยปรับ 2) มาตรการสนับสนุนสินเชื่อฉุกเฉิน วงเงินกู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือน และระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 3 ปี
จะเห็นได้ว่าโครงการพักชำระหนี้ในสถานการณ์วิกฤตและเศรษฐกิจไม่ดีของภาครัฐที่ผ่านมา เป็นเพียงการช่วยให้ชาวนามีโอกาสพักหนี้ ช่วยยืดเวลาการชำระหนี้เงินต้น แต่ระหว่างหยุดพักก็จำเป็นต้องจ่ายดอกเบี้ยต่อไป สำหรับชาวนาบางรายช่วงเวลาปกติก็สามารถชำระได้เพียงดอกเบี้ยอยู่แล้ว ซึ่งเท่ากับอาจจะไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสมสำหรับการแก้ปัญหาหนี้สินของชาวนาโดยตรง โดยเฉพาะชาวนาที่มีหนี้เดิมอยู่แล้ว ยิ่งทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นจากภาวะหนี้สินได้เลย หลายครอบครัวต้องเข้าสู่ระบบการขอสินเชื่อเพิ่มหรือขอปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตและประกอบอาชีพได้อย่างต่อเนื่อง นั่นเป็นเพราะชาวนาไทยส่วนใหญ่มองว่าตนเองนั้นมีทางเลือกที่จะสร้างรายได้ไม่มากนัก และมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาและขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอกทั้งภาครัฐและเอกชน
ขณะที่ตัวชาวนาเองก็ไม่สามารถปลดหนี้ของตนเองได้ และขาดศักยภาพในการพึ่งพาตนเองอย่างแท้จริง (สูงวัย มีปัญหาสุขภาพ ต้นทุนสูง หนี้สูง รายได้ต่ำ) ดังนั้นการช่วยเหลือภาระหนี้ชาวนาในภาวะวิกฤต จำเป็นที่ภาครัฐต้องมีแนวทางนโยบายการพักชำระหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ที่มีประสิทธิภาพกับเกษตรกร และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงมีเป้าหมายไกลไปถึงการฟื้นฟูอาชีพและรายได้ สร้างความมั่นคงในชีวิตให้ชาวนาและเกษตรกรผู้ประสบภัย มีแผนสนับสนุนการปลูกพืชระยะสั้นหลังน้ำท่วม เพื่อเป็นรายได้ชดเชยความเสียหายของพืชผลจากน้ำท่วมได้โดยเร็ว โดยให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของตลาด รวมไปถึงแนวทางการบริหารจัดการน้ำระดับไร่นา การปรับระบบการผลิต การปรับตัวเพื่อรับมือและเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดความเสียหายที่เกิดขึ้นในระยะยาว
ที่มา : ไทยโพสต์ วันที่ 9 พ.ย. 2564
ผู้เขียน : อารีวรรณ คูสันเทียะ
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.