“ฟ้าทะลายโจร” พืชสมุนไพรที่กำลังได้รับความสนใจอย่างสูงในขณะนี้ เนื่องจากมีสรรพคุณในการป้องกันและรักษาโควิด-19 ได้ โดยมีสารสำคัญ คือ แอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) สามารถลดความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการไม่หนักได้ ทำให้ปัจจุบันความต้องการฟ้าทะลายโจรในตลาดมีแนวโน้มการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเพิ่มโอกาสและช่องทางในการผลิต การแปรรูป การตลาด และการสร้างรายได้เพิ่มให้กับเกษตรกร
เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา มูลนิธิชีวิตไท ได้จัดอบรมออนไลน์ให้กับเกษตรกรและผู้สนใจทั่วไป ในหัวข้อเรื่อง “การปลูกฟ้าทะลายโจรและการพึ่งตนเองด้วยสมุนไพร” เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจเรื่องกระบวนการปลูกฟ้าทะลายโจรจากต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ตั้งแต่การผลิต การแปรรูป การตลาด และการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง เพื่อมุ่งหวังให้เกษตรกรที่สนใจปลูกฟ้าทะลายโจร มีความรู้ในการพัฒนาการผลิตอย่างรอบด้านและมีทิศทาง สามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
หัวใจสำคัญ คือ การผลิตที่มีคุณภาพและมีตลาดรองรับ
คุณรัตนา จันทะหนู วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปสมุนไพรทับทิมสยาม 05 จ.สระแก้ว กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตและแปรรูปฟ้าทะลายโจร ตลอดจนพืชสมุนไพรชนิดอื่นสำหรับใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตยา อาหารเสริมดูแลสุขภาพ และผลิตภัณฑ์เวชสำอางภายใต้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ทางกลุ่มได้วางแผนการผลิต โดยใช้หลัก “ตลาดนำการผลิต” ผลผลิตพืชสมุนไพรส่วนใหญ่ของกลุ่มจะมีตลาดรองรับที่แน่นอน เช่น ตลาดคู่สัญญากับโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และโรงพยาบาลวังน้ำเย็น คุณรัตนาได้แนะนำขั้นตอนการปลูกฟ้าทะลายโจร ตั้งแต่การเพาะเมล็ดพันธุ์ การผสมดิน วิธีการปลูก การเก็บเกี่ยว การแปรรูป การเก็บเมล็ดพันธุ์ ภายใต้การบริหารจัดการและดูแลมาตรฐานระดับกลุ่ม ดังนี้
การเพาะเมล็ดพันธุ์ นำเมล็ดฟ้าทะลายโจรขัดกับพื้นปูนโดยใช้มือกดและถูเมล็ดไปมากับพื้นปูนประมาณ 5-10 วินาที วิธีนี้จะทำให้เมล็ดงอกเร็วขึ้น ต่อมาผสมดินเพาะกล้าใส่กะบะเพาะ ใช้ปุ๋ยหมัก 1 ส่วน แกลบดำ 1 ส่วน ดิน 1 ส่วน ขุยมะพร้าว 1 ส่วน ผสมให้เข้ากัน โรยวัสดุเพาะที่ผสมแล้วลงในกะบะเพาะ รดน้ำให้เปียกแล้วนำเมล็ดที่ผ่านการขัดแล้วโรยบนกะบะเพาะบางๆ ระวังอย่าให้เมล็ดทับซ้อนกัน จากนั้นนำวัสดุเพาะโรยปิดบางๆ และรดน้ำอีก 1 ครั้ง และรดน้ำวันละครั้ง รอประมาณ 3-5 วัน เมล็ดจะงอกออกจากเมล็ดหลังจากงอกประมาณ 3 วัน ทำการย้ายต้นกล้าจากกะบะเพาะใส่ถาดเพาะกล้าหลุมละ 1 ต้น เลือกต้นที่มีลักษณะต้นเท่าๆ กัน เลี้ยงต้นกล้าในกะบะเพาะ อีกประมาณ 20 วัน รดน้ำวันละ 1 ครั้ง สังเกตต้นกล้าจะมีใบ 4-6 ใบ
วิธีการปลูก 1. นำต้นกล้าฟ้าทะลายโจรย้ายลงแปลงปลูกโดยปลูกระยะห่าง 10 ซม. 2. รดน้ำทุกวัน ในอาทิตย์ที่ 1 หากไม่มีฝนตก หลังจาก 1 อาทิตย์ไปแล้ว 2-3 วันรดน้ำ 1 ครั้ง (ฟ้าทะลายโจรชอบน้ำ แต่ไม่ชอบแฉะ) ดูแลแบบพืชอื่นทั่วไป กำจัดวัชพืชใส่ปุ๋ยหมักอย่างน้อย 1 ครั้ง อาจคลุมฟางหลังการปลูกในแปลง การเก็บเกี่ยว 1. เมื่อฟ้าทะลายโจรอายุ 90-120 วัน สามารถเก็บส่วนใบและลำต้นโดยการตัดลำต้นเหนือดินขึ้นมา 4 ข้อ ใบของลำต้นช่วงอายุ 90-120 วันหรือก่อนต้นฟ้าทะลายโจรจะออกดอกจะมี สารแอนโดรกราโฟไลด์สูง เป็นช่วงที่เหมาะแก่การนำไปใช้ทำยา การแปรรูป 1.นำฟ้าทะลายโจรล้างน้ำทำความสะอาด 2. นำไปตากให้น้ำแห้ง (ห้ามตากหนา) 3. เมื่อฟ้าทะลายโจรแห้งแล้ว นำมาสับเป็นชิ้นเล็กๆ ประมาณ 5 ซม. 4. เมื่อสับเสร็จแล้ว นำฟ้าทะลายโจรไปตากในโรงอบ (ห้ามตากหนา) 5.เมื่อฟ้าทะลายโจรแห้งจนกรอบ ให้เก็บใส่ตระกร้าและเช็คแยกดูอีกทีว่ามีสิ่งเจือปนหรือไม่ 6. นำฟ้าทะลายโจรบรรจุใส่ถุงและปิดปากให้สนิท 7.หลังจากบรรจุเสร็จแล้วให้นำไปเก็บในห้องที่ไม่มีความชื้นเข้าได้
การเก็บเมล็ดพันธุ์และการเก็บรักษา 1. หลังจากฟ้าทะลายโจรมีอายุประมาณ 120 วันขึ้นไปจะเริ่มมีดอกและติดเมล็ด เราควรเหลือฟ้าทะลายโจรบางส่วนไว้เก็บเมล็ดพันธุ์ 2. หลังจากที่ฟ้าทะลายโจรติดฝักแล้ว เราควรสังเกตสีของเมล็ด เมล็ดที่แก่จะเป็นสีม่วงและสีน้ำตาล 3. เก็บเมล็ดพันธุ์โดยการเก็บเมล็ดจากต้น หรือการตัดต้นแล้วนำมาเคาะเพื่อให้เมล็ดร่วง 4. เมื่อได้เมล็ดแล้ว หลังจากนั้นให้นำไปตากแดด (ควรปิดฝา เพื่อไม่ให้เมล็ดกระเด็นออก) 5. คัดแยกเมล็ดฟ้าทะลายโจรออกจากฝักที่แตกแล้ว (เพื่อให้ง่ายต่อการเก็บรักษา) 6. นำเมล็ดฟ้าทะลายโจรไปแช่ตู้เย็น เพื่อที่จะเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ให้มีอายุนานขึ้น (ถ้าเก็บในอุณภูมิห้องเกิน 6 เดือน อัตราการงอกจะลดลง)
ทิศทางการตลาดฟ้าทะลายโจร ควรมองความสัมพันธ์ระยะยาว
ฟ้าทะลายโจรเป็นพืชสมุนไพรที่มีรากแก้ว ปลูกง่าย ดูแลง่าย หากเกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกกันมากขึ้น ในอนาคตมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาผลผลิตล้นตลาดได้ คุณรัตนา กล่าวสรุปถึงทิศทางการผลิตและการตลาดฟ้าทะลายโจรจากประสบการณ์ของกลุ่มว่า “การปลูกฟ้าทะลายโจรเพื่อความยั่งยืน หากเกษตรกรต้องการผลิตและแปรรูปเป็นวัตถุดิบสำหรับยาและการดูแลสุขภาพ ควรเน้นไปที่กระบวนการผลิตที่มีคุณภาพ กำหนดมาตรฐานการผลิตแบบอินทรีย์ ไม่มีการปนเปื้อนของสารเคมี โลหะหนัก และควรรักษาช่องทางตลาดกับคู่สัญญาในระยะยาว ไม่ควรอิงตามกระแสราคาตลาดมากเกินไป เพื่อให้ผู้บริโภคและประชาชนเข้าถึงยาในราคาที่เป็นธรรม ผู้บริโภคซื้อไหว เกษตรกรอยู่ได้ เพื่อสังคมที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีร่วมกัน”
ที่มา : ไทยโพสต์ วันที่ 24 ก.ย. 2564
ผู้เขียน : สุชาดา ทรงบัญฑิต
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.