ภูทับเบิกเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อของจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านทับเบิกของชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ในช่วงปลายฝนต้นหนาว จะพบไร่กะหล่ำปลีท่ามกลางทะเลหมอกอันสวยงามตระการตา ในช่วงปีใหม่ก็จะมีดอกนางพญาเสือโคร่งสีชมพู หรือ ดอกซากุระเมืองไทยบานสะพรั่งไปทั้งภูเขา ในบริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดเพชรบูรณ์ กับ จังหวัดเลย จะพบสภาพพื้นที่เป็นภูเขาหัวโล้นกว้างไพศาลอันเนื่องมาจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยว
ทางกรมวิชาการเกษตร ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักแผนการจัดการพื้นที่ทำกินในด้านการส่งเสริมกิจกรรมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ที่สอดคล้องกับรูปแบบเกษตรกรรมที่ทำอยู่ ภายใต้แผนแม่บท “การแก้ไขปัญหาพื้นที่ภูทับเบิก พศ.2560-2565” ได้ดำเนินงานในกิจกรรมภายใต้ “โครงการทับเบิกโมเดล” ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2560 จนถึงเดือน กันยายน 2563 ดังนี้
1) การพัฒนาระบบการปลูกพืชแบบผสมผสานที่มีไม้ผลเป็นหลัก เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าในพื้นที่เขาหัวโล้น
2) พัฒนาต้นแบบระบบการผลิตพืชผักปลอดภัย และพืชผักอินทรีย์ ภายใต้ระบบการับรองแหล่งผลิตพืช
3)ศึกษาสมุนไพรพื้นบ้านที่มีศักยภาพ และพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกาแฟ และพืชสมุนไพรที่ปลูกบนพื้นที่สูงภูทับเบิก เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่า และเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน
โดยประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการ “ทับเบิกโมเดล” สามารถนำไปใช้เป็นต้นแบบระบบการผลิตพืชบนพื้นที่สูงในพื้นที่เขาหัวโล้นตามแผนงานการขับเคลื่อนการพัฒนาและการส่งเสริมอาชีพ ภายใต้ยุทธศาสตร์การบูรณาการจัดการป่าต้นน้ำเสื่อมสภาพบนพื้นที่สูงเขาหัวโล้น ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ.2560-2578 ครอบคลุมพื้นเขาหัวโล้น 8.6 ล้านไร่ รวม 15 จังหวัด และใช้เป็นชุมชนต้นแบบลดการใช้สารเคมีบนพื้นที่สูงภูทับเบิก สามารถนำไปขยายผลสู่พื้นที่ทุกแห่งในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนระบบการปลูฏพืชปลอดภัย และพืชอินทรีย์ เพื่อลดการใช้สารเคมีที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ลดการให้เกษตรกรลดการใช้สารเคมี ในแผนยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2555-2564)
โครงการทับเบิกโมเดล เป็นโครงการที่มีเป้าหมายหลัก เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่า (ป่ากินได้) ลดการใช้สารเคมีบนพื้นที่สูง (ลดมลพิษ) และเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรบนพื้นที่สูงเขาหัวโล้นภูทับเบิก(สร้างรายได้) กรมวิชาการเกษตร คาดหวังว่าเมื่อโครงการทับเบิกโมเดลเสร็จในอีก 2 ปีข้างหน้า ยังจะเป็นต้นแบบระบบการปลูกพืชผสมผสานบนพื้นสูงเขาหัวโล้นเพื่อดำเนินการขยายผลอย่างต่อเนื่องต่อไป
ที่มา : เชียงใหม่นิวส์ วันที่ 24 ส.ค. 2563