สัปดาห์นี้ไปดูความสำเร็จวิสาหกิจชุมชน “อุ่มแสง” ต้นแบบที่ดีให้กับชาวนา ไร้สารพิษส่งเสริมสุขภาพที่ดี สร้างรายได้ส่งขายทั่วโลกไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง
นับวันกระแสคนรักสุขภาพจะแรงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าเกษตรอินทรีย์มีการเติบโตขึ้นตามอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศขณะเดียวกันต้องยอมรับว่า กระแสความตื่นตัวของเกษตรกรก็หันมาปลุกพืชแนวทางเกษตรอินทร์มากขึ้นด้วยด้านหนึ่งเพราะเป็นห่วงสุขภาพตัวเองที่ต้องรับสารพิษจนเจ็บไข้ได้ป่วย
อีกเหตุผลที่เกษตรกรหันมาปลูกสินค้าเกษตรอินทรีย์ก็เนื่องมาจากกลุ่มผู้บริโภคเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงราคาดีกว่าสินค้าเกษตรทั่วไป ส่วนที่หวาดวิตกว่าหากปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ต้นจะทุนจะเพิ่มผลผลิตจะไม่ดีนั้นต้องบอกว่าตอนนี้ในบ้านเรามีเกษตรกรไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จในการทำนาข้าวปลูกผักแบบอินทรีย์ ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งสารเคมี
ที่ถือว่าโด่งดังเป็นที่รู้จักและเป็นต้นแบบของชาวนาที่ไม่ใช้สารเคมีที่ประสบความสำเร็จอย่างมากคือ “วิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวชุมชนอุ่มแสง(เกษตรทิพย์)” ที่ได้รับรางวัลจากหน่วยงานต่างๆ มากมาย วิสาหกิจชุมชนแห่งนี้ทำนาข้าวอินทรีย์ แปลงใหญ่ 20,000 ไร่ แต่ถ้ารวมพันธมิตรในเครือข่ายทั่วประเทศราวๆ 1 แสนไร่น่าจะเป็นนาข้าวอินทรีย์แปลงใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเริ่มก่อตั้งครั้งแรกในปี 47โดยผู้นำเป็นชาวบ้านธรรมดาๆที่ชื่อ “บุญมี สุระโคตร” ปัจจุบันเป็นวุฒิสมาชิกที่ได้รับการคัดสรรจากกลุ่มวิชาชีพในฐานะเป็นตัวแทนชาวนา
จุดเริ่มต้นปลูกข้าวอินทรีย์มาจาก “ลุงบุญมี” เริ่มสังเกตเห็นว่าการปลูกข้าวที่ใช้สารเคมีชาวนาเป็นหนี้เป็นสินมาล้นพ้นตัวแถมมีปัญหาเรื่องสุขภาพเจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยๆ จึงคิดหาออกทางว่าจะทำยังไง
ในที่สุดคำตอบอยู่ที่ทำนาเกษตรอินทรีย์ จึงชักชวนคนที่มีอุดมการณ์คล้ายๆเข้ามาร่วมเริ่มแรกมีสมาชิกแค่ 47 รายได้เงินลงขัน 6 หมื่นกว่าบาทแต่ทุกวันนี้มีกว่า 1,200 ครอบครัวส่วนบอกว่าหากไม่ใช้สารเคมีต้นทุนจะเพิ่ม ผลผลิตไม่ดี นั้น ลุงบุญมี เล่าให้ฟังว่าการทำนาข้าวอินทรีย์ช่วย “ลดต้นทุนการผลิตข้าว” อย่างเห็นได้ชัด คนในหมู่บ้านก็มีสุขภาพดีขึ้น สิ่งแวดล้อมดีขึ้นผลผลิตข้าวก็งอกงามกว่าแต่ก่อนที่สำคัญข้าวสารอินทรีย์ขายได้ราคาดีกว่าข้าวสารที่ใช้สารเคมีตลาดต่างประเทศต้องการมากจนผลิตไม่ทัน
ลุงบุญมียังบอกอีกว่า หัวใจสำคัญจริงๆเกษตรกรจะต้องมีความรู้ “เรื่องดิน” ว่าดินที่ทำอยู่นั้นมีแร่ธาตุหรือไม่ มีความอุดมสมบูรณ์แค่ไหน ถ้าไม่มีจะทดแทนอย่างไร หรือต้องมีความรู้เรื่อง “เมล็ดพันธุ” ทั้งสองอย่างนี้สัมพันธ์กัน
ทุกวันนี้ข้าวอินทรีย์ของอุ่มแสง ส่งขายต่างประเทศ 80% ตลาดใหญ่ที่สุดอยู่ที่สหรัฐและ ยุโรปส่วนเอเชีย มีบ้างเล็กน้อยแต่ความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่เหลืออีก 20% ขายในประเทศ ในอนาคตลุงบุญมีบอกว่าจะขายในประเทศมากขึ้น เพราะอยากให้คนไทยบริโภคข้าวปลอดสารเคมีมากๆ ส่วนยอดขายเท่าไหร่นั้นลุงบุญมีไม่ได้บอก แต่แอบรู้มาว่าปีนี้ใกล้ๆ 100 ล้านบาทเลยทีเดียว
ที่สำคัญไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางในเมืองไทย ทำให้ไม่ต้องถูกกดราคา
ลุงบุญมียังเล่าอีกว่า ส่งออกอินทรีย์ข้าวในนามชุมชนฯนั้น เป็น “เสน่ห์การตลาด” อย่างหนึ่งเพราะฝรั่งเขารู้ว่าหากซื้อข้าวไปบริโภคแล้วเงินถึงมือเกษตรกรแน่ๆ
ทุกวันนี้ที่อุ่มแสงไม่ได้ส่งออกข้าวอินทรีย์อย่างเดียว ยังต่อยอดข้าวด้วยการแปรรูปออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย เช่น ผลิตเครื่องสำอางจากข้าว เส้นสปาร์เก็ตกี้ แป้งขนมปังสำหรับทำคุกกี้ หลังจากการทำนาก็ปลูกผักอินทรีย์ต่างๆ เพื่อเป็นรายได้เสริมมีทั้งผักแบบไทยๆ และมันญี่ปุ่น ตอนนี้กำลังทดลองปลูกโกโก้อินทรีย์ด้วย
ในอนาคตความฝันของลุงบุญมีและสมาชิกคืออยากจะทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเกษตรอินทรีย์ ไว้รองรับลูกค้าที่เป็นชาวต่างประเทศที่อยากมาเห็นอยากมาเยี่ยมชาวนาที่ปลูกข้าวให้เขากิน ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือกันว่าจะทำอย่างไร
ความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนอุ่มแสงเป็นตัวอย่างที่ดีให้ชาวนาทั่วไปเอาเป็นต้นแบบ ทุกวันนี้ชาวนาที่นี่นอกจากไม่มีหนี้ สุขภาพดี แข็งแรงแล้ว ยังมีรายได้เลี้ยงครอบครัวใช้ชีวิตแบบสบายๆ
..................................................
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน"
ขอบคุณภาพจาก : ข้าวอินทรีย์ลุงบุญมี
ที่มา : เดลินิวส์ วันที่ 19 ธ.ค. 2562
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.