ชาวนากระดูกสันหลัง(หัก)ของประเทศ เลิกเด็ดขาด!อาชีพทำนา”หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน”ยิ่งทำยิ่งขาดทุนย่อยยับ! หอบแต่หนี้สินเข้าบ้าน
เมื่อย่างเข้าสู่หน้าฝนทุกปี ชาวนาได้เริ่มปรับพื้นที่เพื่อเตรียมเพาะปลูกข้าวนาปี แต่พบว่าในพื้นที่ ต.หนองแฝก อ.สารภี จ.เชียงใหม่ และตำบลใกล้เคียงหลายแห่งที่เคยทำนาปลูกข้าวกัน รวมแล้วพื้นที่ทำนานับหลายร้อยไร่ กลับปล่อยให้รกร้างปกคลุมไปด้วยวัชพืช น้ำเจิ่งนองเต็มไปหมด
“ผู้สื่อข่าวเชียงใหม่นิวส์ออนไลน์” ได้สอบถามไปยังนายคำ (ขอสงวนนามสกุล)ซึ่งเคยทำนาในพื้นที่ดังกล่าว เล่าว่าตนได้ทำนาในพื้นที่แห่งนี้และพื้นที่ใกล้เคียงรวมแล้วหลายสิบไร่ แต่เป็นที่ดินของนายทุนให้เช่าไร่ละ 350-500 บาทต่อปี ซึ่งราคาเช่าจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับสภาพของที่ดินอีกที การทำนาในปัจจุบันต้องลงทุนเป็นจำนวนมาก เริ่มต้นจากซื้อพันธุ์ข้าว ค่ารถไถ ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ฮอร์โมนบำรุง และอื่นๆอีกจิปาถะ โดยไม่ใช้แรงงานจากวัว-ควายเหมือนสมัยก่อน เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตจะมีนายทุนมาซื้อถึงที่นา ยุคที่รุ่งเรืองที่สุดสำหรับ”ชาวนา”จะอยู่ในยุคของอดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เท่านั้นที่ข้าวเปลือกมีราคาแพง ขายข้าวครั้งหนึ่งก็หอบเงินหลายแสนบาทเข้าบ้าน หลังจากหักต้นทุนแล้วก็ยังเหลือกำไรพอใช้หนี้สิน ค่าใช้จ่ายในครอบครัว และยังมีทุนเก็บไว้ปลูกข้าวในฤดูกาลต่อไป
แต่เมื่อฤดูกาลปลูกข้าวหลังหมดยุค อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ แล้ว ราคาข้าวตกต่ำสุดขีดพ่อค้ารับซื้อข้าวเปลือกเพียงกิโลกรัมละ 6-7 บาทเท่านั้น ต้องขาดทุนอย่างย่อยยับติดต่อกันมาหลายปี ถึงแม้รัฐบาลจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือจ่ายเงินค่าชดเชยให้ไร่ละ 1,200 บาท แต่ไม่เกินรายละ 10 ไร่ แต่ก็มีปัญหาอีก ทางนายทุนไม่ยอมออกหนังสือสัญญาเช่าที่ดินให้ จึงไม่มีหลักฐานไปยื่นต่อทางหน่วยงานทางราชการ ทำให้หลายๆรายไม่ได้รับเงินชดเชยจากรัฐบาลเลย เข็ดแล้วเลิกแล้วอาชีพทำนา เหลือแต่หอบหนี้สินเข้าบ้าน
ทางนายสมศักดิ์ ชาวนาอีกคนหนึ่ง ได้กล่าวเสริมอีกว่าปีนี้จะกัดฟันทำนาปีอีกครั้งหนึ่งในพื้นที่ 20 ไร่ (เช่าไร่ละ 350 บาทต่อปี) ถึงแม้ปีที่แล้วจะขาดทุนไป 6 หมื่นกว่าบาท ก็ตามจะขอทำอีกครั้ง หวังว่าฤดูกาลทำนาปีนี้ ราคาข้าวเปลือกจะดีขึ้น เมื่อไม่ทำนาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรเพราะเรามีอาชีพทำนาอยู่แล้ว และก็ขอฝากความหวังไปยังรัฐบาลจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือชาวนาได้ลืมตาอ้าปากกันเสียที
ที่มา : เชียงใหม่นิวส์ วันที่ 1 พ.ค. 2561
ผู้เขียน : ยศวดี ยศบุญเรือง