ที่วัดโคกทมบรมจินดา บ้านโคกทม ตำบลโคกยาง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ นายพรชัย มุ่งเจริญพร กรรมการสมาคมมิตรภาพไทย-กัมพูชา เป็นประธานในพิธีมอบสารปรับสภาพดินให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เกษตรอินทรีย์ผสมผสานนาแปลงใหญ่ ตำบลโคกยาง จำนวน 1,200 กระสอบ โดยมี นายทวี ยิ้มชื่น ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เกษตรอินทรีย์ผสมผสานนาแปลงใหญ่ ตำบลโคกยาง นำเกษตรกรชาวนาที่เข้าร่วมโครงการปลูกข้าวหอมมะลิอินทรีย์จำนวนมาก ต่างพากันนำรถกระบะ รถไถลากพ่วง มาต่อคิวรับสารปรับสภาพดินกันอย่างคึกคัก
สำหรับสารปรับสภาพดินที่มอบครั้งนี้ เป็นสารปรับสภาพดินยี่ห้อ TORCH (ทอช) ของบริษัท ทอช คบเพลิง (ไทยแลนด์) จำกัด สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งทาง บริษัท ทอช คบเพลิง (ไทยแลนด์) จำกัด ได้นำมาจำหน่ายให้เกษตรกรที่เป็นสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เกษตรอินทรีย์ผสมผสานนาแปลงใหญ่ ตำบลโคกยาง ในราคาพิเศษ จากปกติกระสอบละ 350 บาท เหลือเพียงกระสอบละ 300 บาท เท่านั้น โดยทางบริษัทจะยังไม่เก็บเงินจากเกษตรกรแต่อย่างใด ให้นำไปใช้ปรับสภาพดินก่อนไร่ละ 2 กระสอบ เมื่อผลผลิตข้าวหอมมะลิอินทรีย์ที่เกษตรกรปลูกและเก็บเกี่ยวแล้ว สามารถนำมาจำหน่ายให้กับบริษัทโดยตรง ซึ่งจะรับประกันราคาให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการในราคา กิโลกรัมละ 18 บาท หรือ 18,000 บาท ต่อตัน จากนั้นทางบริษัทจึงจะหักค่าสารปรับสภาพดินกระสอบละ 300 บาท หลังจากเก็บเกี่ยวมาขายกับบริษัท ซึ่งโครงการดังกล่าวสร้างความพึงพอใจให้กับเกษตรกรชาวนาที่เข้าร่วมโครงการอย่างมาก เพราะต่างดีใจที่จะสามารถขายข้าวได้ในราคาที่สูงกว่าปกติ
นายทวี ยิ้มชื่น ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เกษตรอินทรีย์ผสมผสานนาแปลงใหญ่ ตำบลโคกยาง เปิดเผยว่า โครงการวันนี้ทางตำบลโคกยางได้รวมกลุ่มกันเป็นเกษตรอินทรีย์ผสมผสานนาแปลงใหญ่ลุ่มน้ำห้วยเสนงตอนบน ตอนนี้ได้รวมกลุ่มกันทั้งตำบลทุกหมู่บ้าน และมีตำบลใกล้เคียงกันเข้ามาร่วมโครงการ ตอนนี้มีสมาชิกร่วม600 ราย มีพื้นที่เพาะปลูกกว่า 7,000 ไร่ และเมื่อรวมกลุ่มกันแล้วได้มองเห็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นคือเรื่องของแหล่งน้ำในการเพาะปลูก ก็อยากวอนหน่วยงานทางราชการและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้มาดูเรื่องแหล่งน้ำให้กับสมาชิก เพื่อจะได้ทำการเพาะปลูกด้านเกษตรอินทรีย์ให้ได้ผลที่สุด วันนี้เรารวมกลุ่มกันได้แล้วแต่ขาดเพียงเรื่องแหล่งน้ำ
“ในวันนี้ทางกลุ่มได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน จากทอช คนทำนา เลี้ยงวัว ได้สนับสนุนเรื่องสารอินทรีย์ปรับปรุงดินแก่กลุ่มเกษตรกรของเรา เป็นหลักการที่เราทำเกษตรย้อนไปยุคบรรพบุรุษ คือทำการเกษตรให้มีไส้เดือน กุ้ง หอย ปู ปลา เราจะกลับไปสู่ยุคนั้นอีกทีหนึ่ง เพราะทุกวันนี้เราเป็นทุกข์จากเรื่องของสารเคมีมาพอสมควร วันนี้เราจะกลับไปสู่บรรพบุรุษให้มีไส้เดือน กุ้ง หอย ปู ปลาให้อุดมสมบูรณ์ในแปลงนาเราให้ได้ นี่คือเป้าหมายของเราที่จะทำ ต้องขอบคุณทอช ที่ร่วมลงทุนให้กับสมาชิกโดยไม่มีข้อแม้ สมาชิกไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เป็นการช่วยเหลือเกษตรกร แต่ก็ยังขาดเรื่องของส่วนราชการและส่วนที่เกี่ยวข้องในการสมทบเรื่องแหล่งน้ำให้กับเกษตรกร ในวันนี้ทุกอย่างทั้งการตลาดก็พร้อมหมดแล้ว ตำบลโคกยางเป็นพื้นที่ลำน้ำตอนบนของห้วยเสนง แต่ว่ายังขาดการบูรณาการที่สมบูรณ์แบบไม่มี”
ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เกษตรอินทรีย์ผสมผสานนาแปลงใหญ่ ตำบลโคกยาง ระบุว่า การแจกจ่ายสารอินทรีย์ครั้งนี้จะให้สมาชิก 2 กระสอบ ต่อไร่ ครั้งก่อนได้มีการแจกจ่ายพันธุ์ข้าวมะลิ 105 ให้กับเกษตรกรไปแล้ว ไร่ละ 25 กิโลกรัม สมาชิกรับไปแล้วประมาณ 4,000 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะเป็นผลดีสำหรับเกษตรกรเป็นอย่างมากในการทำเกษตรอินทรีย์ เราจะต้องเอาธรรมชาติกลับคืนมาให้ได้ ซึ่งวันนี้เราได้รับความร่วมมือจากพี่น้องเกษตรกรเป็นอย่างดีที่ร่วมในการดำเนินการขับเคลื่อนให้เป็นผลต่อไป
ด้าน นายนำ ละเมียดดี นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) โคกยาง บอกว่า เรื่องของงบประมาณในการขุดลอกลำห้วยนั้น นับว่าเป็นงบประมาณที่ค่อนข้างสูงมาก การดำเนินการเป็นเรื่องของทางผู้ใหญ่ที่ต้องลงมาช่วย เพราะเกินกำลังกว่าที่ อบต.จะดำเนินการ เรามีเพียงแหล่งน้ำขนาดเล็กในไร่ แต่แหล่งน้ำซึ่งเป็นหัวใจหลัก ทั้งที่เป็นเส้นหลักของลำห้วยเสนง 2 ไม่มีที่กักเก็บน้ำเพื่อทำการเกษตรให้กับเกษตรกรเลย หวังอย่างยิ่งว่าผู้ใหญ่จะได้ให้ความสำคัญในจุดนี้
นางอรุณ สัชชานนท์ สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เกษตรอินทรีย์ผสมผสานนาแปลงใหญ่ ตำบลโคกยาง บอกว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้เข้าร่วมโครงการ ตนมีที่นา 9 ไร่ ลองปลูกข้าวหอมมะลิอินทรีย์ดู หากทำแล้วดีขายได้ราคาดีก็จะขยายพื้นที่ปลูกเพิ่ม นอกจากนี้ในพื้นที่ยังต้องการแหล่งน้ำ เพราะถ้าฝนไม่ตกก็ลำบาก และที่สำคัญคืออยากหมดหนี้ เมื่อมีการประกันราคาให้ข้าวอินทรีย์ตันละ 18,000 บาท ชาวนาที่ร่วมโครงการก็ดีใจจะได้หมดหนี้ เพราะปลูกปีแรกสามารถขายได้เลย หากใช้สารปรับสภาพดินจากทอช
นางเกื้อง สุรเนตร สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เกษตรอินทรีย์ผสมผสานนาแปลงใหญ่ ตำบลโคกยาง ในวัย 60 ปี บอกว่า แค่ให้ในพื้นที่มีแหล่งน้ำเพียงพอ นอกจากชาวนาจะปลูกข้าวอินทรีย์ได้แล้ว ยังสามารถเลี้ยงสัตว์ ปลูกผักขายได้ มีรายได้ตลอดทั้งปี แต่ขณะนี้ในพื้นที่ไม่มีแหล่งน้ำเลย อยากให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยพิจารณาช่วยเหลือชาวนาด้วย
ที่มา : เทคโนโลยีชาวบ้าน วันที่ 3 เม.ย. 2561
ผู้เขียน : ดำรงพล พาชื่น
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.