เมืองไทย 360 องศา
แม้จะยังไม่ชัดเจนในรายละเอียดแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ สำหรับโครงการพักหนี้เกษตรกรที่เป็นชาวนาที่เพิ่งผ่าน มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 18 เมษายน ที่ผ่านมา โดยเป็นการพิจารณาพักหนี้เกษตรกรชาวนาในปี 2559 และปี 2560
จากการเปิดเผยของ ณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ระบุว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อดำเนินโครงการพักชำระหนี้เงินต้น และลดดอกเบี้ยให้สมาชิกของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิตดังกล่าวข้างต้นเป็นเงินปีละ 767.91 ล้านบาท ระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่ 1 ก.ค. 59 ถึง 30 มิ.ย. 61 ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1,535 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี สำหรับการลดดอกเบี้ยและการชดเชยดอกเบี้ยจำนวน 3 เปอร์เซ็นต์นั้น ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะเป็นแบบรัฐช่วยทั้ง 3 เปอร์เซ็นต์ หรือให้กลุ่มสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรช่วยรับภาระตรงนี้เหมือนกับกรณีของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่คณะรัฐมนตรีเคยมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 59 ให้พักชำระหนี้เงินต้นและลดดอกเบี้ยเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในปี 59/60 สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. โดยการเลื่อนกำหนดการชำระเงินต้นเป็นเวลา 2 ปี และลดดอกเบี้ย 3 เปอร์เซ็นต์ โดยใน 3 เปอร์เซ็นต์ดังกล่าวนั้น แบ่งเป็น ธ.ก.ส. และรัฐช่วยกันชดเชยคนละครึ่ง คือ 1.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งคราวก่อนมีเกษตรกรที่เป็นชาวนาเข้าร่วมโครงการกว่า 2 ล้านราย
แน่นอนว่านี่คือ ข่าวดีสำหรับเกษตรกรโดยเฉพาะที่เป็นชาวนา ซึ่งถือว่าเป็นเกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศมานาน ขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นเป็นคนส่วนใหญ่ที่เป็นหนี้ทั้งหนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ขณะเดียวกัน ก็ยังแปลกใจอยู่เหมือนกันว่า ข่าวสำคัญแบบนี้ทำไมถึงไม่ค่อยมีการประกาศ หรือแถลงรายละเอียดหรือเป็นข่าวออกมาได้รับทราบมากกว่านี้ แต่อีกมุมหนึ่งอาจเป็นเพราะจังหวะไม่ดี เพราะเพิ่งกลับจากเทศกาลสงกรานต์หยุดยาว และเพิ่งกลับมาทำงานกันวันแรกก็เป็นได้
แต่หากพิจารณากันในทางการเมือง ถือว่านี่คือ "แพกเกจใหญ่" ที่ย่อมมีผลตามมาอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเรียกแบบไหนก็ตาม ก็ต้องบอกว่านี่คือหนึ่งในโครงการที่เรียกว่า "ประชานิยม" ที่ซื้อใจประชาชน แม้ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่รับรองว่า ต้องอยู่ในใจของชาวนาที่ได้รับผลประโยชน์จากการเข้าร่วมโครงการดังกล่าวของรัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และที่บอกว่า เป็นแพกเกจ เพราะก่อนหน้านี้ ก็เพิ่งเริ่มให้คนจนทั่วประเทศลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยรอบใหม่ ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. ไปจนถึงวันที่ 15 พ.ค. 60 ซึ่งกระทรวงการคลังที่รับผิดชอบดูแลโครงการ คาดการณ์ว่า จะมีคนมาลงทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 10 ล้านราย มากกว่าปีที่แล้ว ที่มียอดลงทะเบียน 8.3 ล้านคน แม้ว่าจะมีการเพิ่มเงื่อนไขสำหรับคนจนจริงๆ ก็คือ ต้องไม่มีทรัพย์สินเงินฝากไม่เกิน 1 แสนบาท หรือ มีที่ดินไม่เกิน 10 ไร่ ที่ดินอื่นไม่เกิน 1 ไร่ มีบ้านไม่เกิน 25 ตารางวา เป็นต้น โดยรัฐจะช่วยเหลือในเรื่องค่าครองชีพ ค่าน้ำค่าไฟ ค่ารถเมล์ รถไฟฟรี โดยจะทำเป็นบัตรแจกให้ ซึ่งในอนาคตจะสามารถนำไปซื้อสินค้าในราคาพิเศษได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีรายงานในเรื่องการเพิ่มเงิน "เบี้ยผู้สูงอายุ" ที่จะจ่ายเพิ่มเป็นรายละประมาณ 1,200 บาท เรียกว่าครอบคลุมไปทุกวงการกันเลยทีเดียว
แน่นอนว่า โครงการต่างๆ ดังที่กล่าวมา แม้ว่าไม่ใช่ของใหม่ หรือไม่เคยมีใครดำเนินการมาก่อน ตรงกันข้ามในยุคของรัฐบาลนักการเมืองก่อนหน้านี้ ต่างก็นำมาใช้เป็นโครงการเด่นเพื่อสร้างความนิยมไปพร้อมๆ กันด้วย เช่น โครงการพักชำระหนี้ของพรรคไทยรักไทย ในยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร โครงการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในยุครัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ของพรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงการแจกเงินให้คนจนที่ผ่านมา ขณะที่ในยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในยุคของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีหัวหน้าทีมเศรษฐกิจอย่าง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็นำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง แต่จะมีการปรับปรุงใหม่ และมาแบบทยอยไล่เลี่ยกันมาเป็นชุดๆ
แม้ว่าบางคนอาจแสลงหูกับการได้ยินคำว่า "ประชานิยม" ที่เหมือนกับว่าใช้วิธีโปรยเงินโดยที่ชาวบ้านคนจนเอาแต่แบมือรับ จนช่วยตัวเองไม่เป็น ก็แล้วแต่มุมมอง ขณะเดียวกันในบางมุมโครงการแบบนี้มันก็ใช้ได้เหมือนกันหาก "ตรงเป้า" ไม่ใช่การโปรยหว่าน แบบไร้ทิศทาง
อย่างไรก็ดี เมื่อเข็นออกมาแบบนี้ มันก็อดไม่ได้ที่จะต้องจับตามองว่า นี่คือ การหาคะแนนนิยมทางการเมืองควบคู่กันไปด้วยในช่วงโค้งสุดท้ายในการซื้อใจชาวบ้านที่เป็นคนจนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะชาวนา ที่ต้องดึงเข้ามา แม้ว่าในความเป็นจริงบางโครงการ เช่น การพักหนี้ไม่ใช่การปลดหนี้ เพียงแต่ว่ายืดเวลาชำระออกไปก่อน และลดดอกเบี้ยโดยรัฐช่วยแบ่งเบาภาระให้บางส่วนพอช่วยบรรเทาความลำบาก ก็น่าจะทำให้หันกลับมาชื่นชมกันได้บ้าง หลังจากเคยเทใจไปให้กับครอบครัวของ ทักษิณ ชินวัตร ที่นำเงินหลวงมาแจกแล้วแอบอ้างทำให้เหมือนเข้าใจว่าเป็นเงินพวกเขา ให้ตีตัวออกมาบ้างก็ยังดี ซึ่งถือว่ายังไงก็ต้องได้ผล
แน่นอนว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายเริ่มเข้าด้ายเข้าเข็ม เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ก่อนมีการเลือกตั้งในปลายปีหน้าต่อเนื่องไปจนถึงรัฐบาลใหม่ มีผู้นำคนใหม่ แม้ว่านาทีนี้จะยังไม่ปรากฏโฉมหน้าออกมาชัดเจน แต่ถึงอย่างไรในใจหลายคนก็พอเริ่มมองเห็นเค้าหน้าในเงาสลัวได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า !!
ที่มา MGR Online 21 เมษายน 2560
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.