หลังราคาข้าวเปลือกตกต่ำ จากราคาข้าวหอมมะลิที่เคยมีราคาถึงประมาณตันละ 15,000 บาท ร่วงลงมาอยู่ที่ราคาตันละไม่ถึง 7,000 บาท ทำให้ชาวนาบางแห่งต้องออกมาช่วยตัวเอง ด้วยการสีข้าวเป็นข้าวสาร แล้วเองขายผ่านสังคมออนไลน์ จนทำให้สังคมต้องการช่วยซื้อข้าวจากชาวนาโดยตรง แต่ก็เป็นเรื่องที่ยาก เพราะคนช่วยซื้อต้องการซื้อข้าวสาร แต่ชาวนาส่วนใหญ่ต้องการขายข้าวเปลือก เพราะไม่ได้มีโรงสีข้าวเอง
ไม่ได้มีโกดังหรือยุ้งฉางที่จะเก็บข้าวเปลือกในปริมาณ 20-40 ตันได้ การจะเก็บข้าวทั้งหมดไว้สีขายเอง จึงเป็นเรื่องค่อนข้างเพ้อฝัน ซึ่งแตกต่างจากโครงการจำนำข้าว ทีมีที่เก็บข้าวให้ หากตัดปัญหาความไม่โปร่งใสในบางขั้นตอนออกไป ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการช่วยชาวนาทำให้ชาวนาได้ประโยชน์จริง ๆ
แต่หากมาดูแนวทางการช่วยเหลือชาวนาของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กลุ่มปัญญาชนเสื้อแดงบางส่วนชื่นชมนักหนาว่าดี เพราะซื้อมาจากชาวนากิโลกรัมละ 20 บาท แล้วนำมาขายกิโลกรัมละ 20 บาท จำนวน 10 ตัน แล้วข้าวหมดภายใน 1 ชั่วโมง นั้น ถือว่าเป็นความผิดพลาดอย่างรุนแรง เพราะผลของมันตรงกันข้าม การทำแบบนี้เป็นการซ้ำเติมชาวนามากกว่าช่วยชาวนา ก็ไม่เข้าใจว่านักกิจกรรมหรือปัญญาชนไปภูมิใจกับโครงการที่ทำร้ายชาวนาแบบนี้ได้อย่างไร ราคาข้าวสารหอมมะลิกิโลกรัมละ 20 บาท มันช่วยชาวนาได้แค่ไหน แค่ 10 ตันช่วยชาวนาได้กี่ราย?
โดยทั่วไปข้าวเปลือก 1 ตันจะสีได้ข้าวสารประมาณ 460 ก.ก. ถ้าข้าวสารกิโลกรัมละ 20 บาท ก็จะได้เงินตันละ 9 พันกว่าบาท ซึ่งก็ถือว่าราคายังต่ำอยู่ เพราะราคาที่ชาวนาต้องการจริงๆ ในสถานการณ์ตอนนี้ คือราคาต้องไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 10 บาท จึงจะพออยู่ได้ กรณีที่คุณสมชาย แสวงการ วิจารณ์คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไว้จึงเป็นเรื่องที่มีเหตุผล ที่บอกว่า "ถล่มชาวนา กดราคาชาวนา กก.ละ 20 บาท ต่ำกว่าต้นทุนจริงๆ" เพราะการกระทำของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำให้ชาวนาที่อยากจะขายข้าวตรงให้ผู้บริโภคในราคากิโลกรัมละ 30-35 บาท ขายลำบากขึ้น เพราะผู้บริโภคจะตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมข้าวของชาวนาจึงมีราคาแพง ทั้งที่จริงข้าวหอมมะลิใหม่ที่มีคุณภาพราคา 30-35 บาท ก็เป็นราคาที่สอดคล้องกับต้นทุนและถูกกว่าราคาขายปลีกของข้าวถุง 5 ก.ก. ในตลาดอยู่แล้ว โดยในตลาดราคาอยู่ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 35 บาท ถึง 50 บาท ต่อกิโลกรัม
หากคุณยิ่งลักษณ์ต้องการที่จะช่วยชาวนาจริงๆ และจะยอมแบกรับค่าขนส่งเอง ก็ควรซื้อข้าวชาวนาในราคาตามราคาตลาดข้าวสารหรือให้สูงกว่าราคาตลาด เพื่อกระตุ้นให้โรงสี ซื้อข้าวเปลือกของชาวนาให้สูงขึ้น โดยคุณยิ่งลักษณ์ ต้องคิดว่าต้องทำให้ราคาข้าวสูงขึ้น ไม่ใช่ทำให้ราคาข้าวหอมมะลินาปีต่ำลง เพราะราคาข้าวสารกิโลกรัมละ 20 บาท มันเป็นราคาของข้าวขาวแข็งๆ ข้าวนาปรัง ข้าวเก่า ที่พ่อค้าแม่ค้านำไปหุงขายให้กับผู้ที่ไม่มีทางเลือก คนไม่มีเวลาหุงข้าวทานเอง หรือบางคนอาจจะนิยมซื้อไปหุงให้สุนัขกินด้วยซ้ำ ดังนั้นโครงการนี้คนที่จะได้ประโยชน์จริงๆ ไม่น่าจะเป็นชาวนา เพราะสิ่งที่ทำมันขัดแย้งกับสิ่งที่ให้สัมภาษณ์สื่อที่บอกว่า "เพราะต้องการช่วยเหลือเกษตรกรและคลายความเดือดร้อนให้กับชาวนาที่ประสบปัญหาราคาข้าวตกต่ำ " หากแต่สิ่งที่ทำอยู่คือทำให้ราคาข้าวขยับขึ้นไม่ได้ ถ้าราคาไม่ขยับขึ้นจะช่วยคลายความเดือดร้อนให้ชาวนาได้อย่างไร
ส่วนโครงการของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีอีกท่าน ที่ขายข้าวสารกิโลกรัมละ 25 บาท จำนวน 12 ตัน ช่วยชาวนาได้จริงหรือไม่? ผมว่าราคานี้ถ้าเป็นข้าวของชาวนาจริงๆ ชาวนาจะได้เงินประมาณ 11,500 บาทต่อตัน ย้ำ "ถ้าเป็นข้าวซื้อตรงจากชาวนาจริงๆ" ก็จะถือว่าชาวนาที่ขายข้าวให้ได้ประโยชน์จริงๆ แต่โดยรวมแล้ว ก็ไม่ต่างจากคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มากนัก เพราะหากนำมาขาย 25 บาท ก็ทำให้ชาวนาจริงๆ นำข้าวมาขายตรงลำบากเช่นกัน เพราะมันมีต้นทุนอื่นๆ นอกจากต้นทุนการปลูกข้าวด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสีข้าว การบรรจุ การขนส่ง ค่าแรงการขาย สิ่งเหล่านี้เป็นทุน และจะทำได้ก็ต้องมีทักษะ มีประสบการณ์ ในการขายด้วย นี่ยังไม่นับการประสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคเชื่อมั่น ว่าข้าวเป็นของชาวนาจริงๆ เพราะช่วงนี้จะเห็นว่ามีข้าวสารของโรงสีมาแอบอ้างว่าเป็นข้าวชาวนาโดยตรง โดยเอาข้าวเก่ามาขายก็มี และข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในสื่อ ของโครงการนี้ก็ดูขัดแย้งกันในบางจุด ในข่าวบอกว่ารับซื้อข้าวจากชาวนาแล้วนำมาสีเอง ซึ่งตามความเข้าใจคือรับซื้อข้าวเปลือก แต่มาบอกราคาซื้อเป็นราคาข้าวสารคือ ก.ก.ละ 25 บาท ก็เลยไม่แน่ใจว่าราคาข้าวเปลือกที่ชาวนาได้อยู่ที่ 11500 ต่อตันหรือเปล่า และข้าวเปลือกประมาณ 26 กว่าตัน ถ้าเป็นพื้นที่ในจังหวัดพิจิตร ซื้อจากชาวนาเจ้าเดียวก็ทำได้ไม่ยากนัก
แต่กรณีของคุณอภิสิทธิ์ดีขึ้นมาหน่อย คือการแบ่งข้าวสารประมาณ 4.5 ตัน ไปแจกฟรีให้กับพนักงานทำความสะอาดของกทม. น่าเสียดายที่ยังไม่เห็นว่าคุณสมชาย แสวงการ ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์โครงการของทีคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือไม่ จึงไม่ทราบว่ามีความเห็นอย่างไรกับกรณีนี้
แต่ที่อยากจะฝากคำถามไว้ให้คิด ก็คือ ข้าวสาร 10 ตัน (ข้าวเปลือกประมาณ 21 ตัน) ของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ข้าวสาร 12 ตัน (ข้าวเปลือกประมาณ 26 ตัน ) ช่วยชาวนาได้กี่ราย แล้วตัดราคาขายตรงของชาวนาไปกี่ราย ?
คราวหน้าถ้ามีโอกาสจะเขียนถึงกรณี ปัญหาที่ทำไมชาวนาจึงขายข้าวสารโดยตรงให้ผู้บริโภคลำบาก โดยนำกรณีศึกษาของชาวนาจังหวัดสุรินทร์ที่มาขายข้าวสารหอมมะลิ จำนวน 49 ตัน ในวันที่ 13 พ.ย. 59 และวันที่ 17 พ.ย. 59 อีกกว่า 90 ตัน หมดภายในวันเดียว อีกกรณีคือปัญหาของชาวนาบางพื้นที่ในบางจังหวัดของภาคกลางตอนบน ที่ถูกบีบให้ขายข้าวให้กับนายหน้าหน้าโรงสี และการเข้าไปซื้อข้าวเปลือกข้ามเขตจังหวัดจึงทำไม่ค่อยได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่อยากเขียนก็คือความแตกต่างวิถีชีวิตของชาวนาภาคกลางกับภาคอีสาน และทำไมสุรินทร์จึงปลูกแต่ข้าวหอมมะลิ
ที่มา : ประชาไท วันที่ 20 พ.ย. 2559
ฤทธิชัย ชูวงษ์
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.