ภาพถ่ายโดย : ปัญญา คำลาภ
โดย...กนกวรรณ มะโนรมย์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
“ปลา” ที่ผลิตได้ในท้องถิ่นภาคอีสานมีความสำคัญต่อคนชนบททั้งในฐานะแหล่งอาหารโปรตีนและแคลเซียม แหล่งรายได้ การรักษาระบบนิเวศ การดำรงของวัฒนธรรมเครือข่ายและเครือญาติผ่านการให้และแลกเปลี่ยน รวมทั้งมีบทบาททางศาสนาและพิธีกรรม
ทำไม“ปลา ๆ”? [1]
บทความสั้นๆนี้ต้องการ เสนอสองประการคือ (หนึ่ง) สื่อให้เห็นถึงความสำคัญของ “ปลา” ในบริบทความเป็นชาวนายืดหยุ่น (Flexible famers) (Yos Santasombat 2008) กล่าวคือเป็นสังคมที่ชาวนาคือผู้มีความสามารถสร้างอำนาจต่อรองหลากหลายรูปแบบทั้งการยืดหยุ่นผสมผสานกับความแข็งกร้าวกับรัฐบนฐานการใช้ความรู้ท้องถิ่นเรื่องทรัพยากรป่าทาม เช่น ปลาและทรัพยากรธรรมชาติสำคัญๆในที่ราบลุ่มราษีไศลรวมทั้งประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นมาเป็นเครื่องมือการเคลื่อนไหวทางสังคมและสิ่งแวดล้อม และ (สอง) บทความสั้นๆยังตั้งคำถามต่อความเข้าใจเรื่องสิทธิชุมชนของชาวบ้าน แน่นอนว่าตามหลักสิทธิมนุษยชน ทุกคนมีสิทธิตัวตัวมาแต่กำเนิดในฐานะที่เป็นมนุษย์เท่ากัน[2] แต่ในความเป็นจริง การถูกละเมิดสิทธิเกิดขึ้นในทุกสังคมและพื้นที่เสมอ ชาวบ้านลุ่มน้ำราศีไศลก็เช่นกัน พวกเขาลุกขึ้นมาเรียกร้องกับรัฐเรื่องที่ทรัพยากรที่เคยใช้ถูกละเมิดและทำให้หายไปโดยการสร้างเขื่อนหัวนาและราษีไศล
นางผา กองธรรม (2559) นายกสมาคมคนทาม[3] ท่านกล่าวว่า “เขื่อนราษีไศล ทำให้ชาวบ้านออกมาเคลื่อนไหว เพราะเขื่อนทำลายทรัพยากรและวิถีชีวิต การเคลื่อนไหวทำให้ชาวนาได้เรียนรู้และตระหนักว่าพวกตนมีสิทธิในการต่อรองกับรัฐในการจัดการทรัพยากรและการพัฒนา” (30 พฤษภาคม 2559)
ดังนั้น คำถามที่น่าสนใจคือชาวบ้านไม่ได้คิดว่าตนเองมีสิทธิในการเรียกร้องต่อรัฐมาแต่กำเนิดหรือไม่? “สิทธิ” ในการจัดการทรัพยากรเกิดขึ้นหลังจากที่ชาวบ้านได้รับผลกระทบจากโครงการของรัฐ ใช่หรือไม่? พวกเขาได้เรียนรู้และสร้าง “สิทธิ” ขึ้นมาเพื่อการต่อรองหลังจากที่ชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรมใช่ไหม?
ผู้เขียนเห็นว่าการตั้งคำถามใหม่ๆเกี่ยวกับสิทธิชุมชนในยุคทุนนิยมและการก้าวออกจากสังคมชาวนาจึงน่าจะจำเป็นมากขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนและถกเถียงทางวิชาการว่าด้วยสิทธิชุมชนในโลกชาวนายุคโลกาภิวัตน์นี้
ข้าวปลาอาหาร
คนอีสานกินปลาเป็นอันดับสอง ของประเทศคือเฉลี่ยประมาณ 32.7 กิโลกรัมต่อคนต่อปี (ข้อมูลการสำรวจล่าสุดในปี 2014 และ ข้อมูลในปี 2010 ระบุว่าคนอีสานกินปลาประมาณ 31 กิโลกรัมต่อคนต่อปี) ปลาที่คนอีสานกินส่วนใหญ่คือปลาน้ำจืด คนภาคใต้กินปลามากที่สุดในประเทศไทยคือประมาณ 41.4 กิโลกรัมต่อคนต่อปีซึ่งโดย มากเป็นปลาทะเล ภาคเหนือ (30.3 กิโลกรัมต่อคนต่อปี) ภาคกลาง (28.2 กิโลกรัมต่อคนต่อปี) และกรุงเทพมหานคร (17.4 กิโลกรัมต่อคนต่อปี)[4] เมื่อแยกระหว่างสังคมเมืองและสังคมชนบทพบว่า คนในชนบทกินปลาโดยเฉลี่ยประมาณ 35.7 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ในขณะที่คนเมืองกินปลาเฉลี่ยประมาณ 24.7 กิโลกรัมต่อคนต่อปี (Needham and Funge-Smith and 2014: 47-48)[5]
ภาพถ่ายโดย : ปัญญา คำลาภ
คนอีสานกินปลาน้ำจืดมากที่สุดกว่าทุกภาคคือเฉลี่ยประมาณ 15 กิโลกรัมต่อคนต่อปี โดยนิยมกินปลาซ่อนเป็นนิยมอันดับหนึ่งมากถึง 5.4 กิโลกรัมต่อคนต่อปีเลยทีเดียว ส่วนปลาน้ำจืดเลี้ยงคือปลานิล ปลาทับทิมและปลาจากทะเลก็เป็นที่นิยมในทุกภาคของประเทศไทยเช่นกัน ปลาที่คนอีสานกินโดยไม่ผ่านการถนอมอาหารมีประมาณเฉลี่ย 25. 1 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ส่วนปลาที่ผ่านการถนอมอาหารนิยมกินในภาคอีสานคือ ปลาร้า ปลาส้ม และปลาแห้ง ซึ่งพบว่าเฉลี่ย ประมาณ 8.3 กิโลกรัมต่อคนต่อปี (Needham and Funge-Smith 2014: 48)
การศึกษาภาพรวมการบริโภคปลาของ Needham and Funge-Smith (2014) ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าปลามีความสำคัญในฐานแหล่งอาหารโปรตีนของคนอีสานโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ส่วนการศึกษาระดับครัวเรือนของชาวบ้านในพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 884 ครัวเรือน (กนกวรรณ มะโนรมย์และคณะ 2552) สอดคล้องกับการศึกษาของ Needham and Funge-Smith (2014) เป็นอย่างดี กล่าวคือ ชาวบ้านที่หาปลาได้ นำมาใช้ประโยชน์ด้านอาหารมากที่สุด รองลงมาคือการทำบุญ ให้ญาติพี่น้องหรือเพื่อนบ้าน ขาย ใช้ในพิธีกรรมและแลกเปลี่ยนสิ่งของตามลำดับ ปลาเหล่านี้หาได้จากแม่น้ำมูลตอนกลาง สาขาแม่น้ำมูล ห้วย หนอง คลองบึง สระ พื้นที่ชุ่มน้ำหรือพื้นป่าบุ่งป่าทามและทุ่งนา
การนำปลาไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนหัวนา |
จำนวนผู้ให้ข้อมูล |
เปอร์เซ็นต์ |
ขาย |
127 |
14.4 |
กินเองในครัวเรือน |
240 |
27.1 |
พิธีกรรม |
83 |
9.4 |
แลกเปลี่ยนสิ่งของ |
42 |
4.8 |
ให้ญาติพี่น้องหรือเพื่อนบ้าน |
181 |
20.5 |
ทำบุญที่วัด |
211 |
23.8 |
รวม |
884 |
100.0 |
ที่มา: กนกวรรณ มะโนรมย์และคณะ (2552)
“ปลาค่อกั้ง” กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ตารางที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าชาวบ้านใช้ปลาเชิงเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม กล่าวเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างปลาและวัฒนธรรม พบว่า “ปลาค่อกั้ง” คือสัญลักษณ์ความสมบูรณ์ของป่าทามและอาหารตามธรรมชาติและความดำรงอยู่ของความเชื่อเรื่องเทพของชาวบ้านในที่ราบลุ่มราษีไศล ซึ่งปัญญา คำลาภ[6] เล่าว่า ชาวบ้านนำ“ปลาค่อกั้ง” (ปลาช่อนกั้ง) ซึ่งมีรสชาติอร่อยและหาได้จาก “บ่อน้ำจั้น” [7] ในป่าทาม (พื้นที่ชุ่มน้ำ) ซึ่งหาได้ไม่งายนัก ไปถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านในที่ราบลุ่มราศีไศลนับถือคือ “เจ้าพ่อดงภูดิน” ภายหลังจากเขื่อนราศีไศลเก็บกักน้ำ “บ่อน้ำจั้น” แทบทั้งหมดจมอยู่ใต้น้ำ “ปลาค่อกั้ง” ในป่าทามจึงเหลือเพียงตำนาน ซึ่งเป็นการสูญเสียทรัพยากรในมิติกายภาพและสังคมวัฒนธรรม
แม่ผา กองธรรม[8] เล่าต่อว่า “เจ้าพ่อดงภูดิน” คือเทพศักดิ์สิทธิ์ที่คนในพื้นที่ราบลุ่มราษีไศลเคารพนับถือ กราบไหว้ถือเป็นจิตวิณญาณร่วมของชาวบ้านในแถบนี้มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเพราะชาวบ้านเชื่อและศรัทธาว่าเจ้าพอดงภูดินคือองค์ประทานของทวยเทพทั้งหลายในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ราบลุ่มแห่งนี้ ท่านทำหน้าที่ปกปักรักษาชาวบ้านให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่เจ็บป่วย แคล้วคลาดจากอันตรายต่างๆและทำมาหากินด้วยความราบรื่น และเทพคือผีดีที่ช่วยชาวบ้านมาตลอด
คำกล่าวของแม่ผ่า กองธรรม เหล่านี้สะท้อนว่าชาวนามีความสามารถในการนำความเชื่อท้องถิ่นมาผสมผสานเข้ากับความคิดสากลได้แก่ “สิทธิ” ที่มาพร้อมกับโลกาภิวัตน์ มาผลิตซ้ำเพื่อปฏิบัติการณ์ในการต่อรองกับรัฐ (อานันท์ กาญจนพันธุ์ 2544) ชาวนานำความเชื่อความศรัทธาเรื่องเจ้าพ่อดงภูดินที่เป็นจิตวิญญาณของตนมาผลิตซ้ำและสร้างความหมายใหม่ซึ่งเป็นความหมายเชิงสัญลักษณ์เพื่อเรียกร้องสิทธิในรักษาและการอนุรักษ์ป่าดงภูดิน เช่น การปลูกต้นไม้ การจัดการนิเวศน์และป่าทามรวมทั้งการต่อต้านการสร้างเขื่อนหัวนาและราษีไศล การนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นกลไกการจัดการทรัพยากรช่วยคลี่ปมปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนได้มากขึ้น (ปฐม หงษ์สุวรรณ 2557)
วิถีหา...ปลาสร้างเงิน
ปลามีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจชุมชนอย่างมากในที่ราบลุ่มราษีไศล แม้จะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่มาก หากมองในมุมเศรษฐกิจมหภาค เนื่องจากการซื้อขายปลานั้น ส่วนใหญ่จะค้าขายกันในหมู่บ้าน โดยร้อยปลาเป็นพวงเดินขาย บางคนนำปลาไปขายในตลาดในตัวอำเภอหรือตัวจังหวัดด้วยตนเอง หรือไม่ก็ขายให้พ่อค้าในหมู่บ้านเดียว กันซึ่งหาปลาด้วยกัน ในขณะที่อีกส่วนหนึ่ง จะหาไว้กินภายในครัวเรือน หรือแปรรูปเป็นปลาร้าเก็บไว้กิน ซึ่งเป็นอาหารหลักของครอบครัว รวมทั้งยังสามารถช่วยลดภาระเรื่องการใช้จ่ายในการซื้ออาหารจากรถที่วิ่งเข้ามาขายในหมู่บ้านหรือตลาดได้มาก (กนกวรรณ มะโนรมย์และคณะ 2552)
ต่อไปนี้ คือกรณีศึกษาหมู่บ้านที่หาปลาเป็นอาชีพในพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากเขื่อนหัวนา จ.ศรีสะเกษ[9] ได้แก่ หมู่บ้านใหญ่และบ้านโนน ต.เมืองคง อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ ในขณะที่หมู่บ้านอื่นๆก็มีการหาปลาเป็นประจำเช่นกัน แต่จำนวนคนที่หาปลามีจำนวนไม่มากเหมือนกับสองหมู่บ้านนี้ ชาวบ้านสองหมู่บ้านหาปลาตลอดทั้งปี (ดูตาราง) เพราะหมู่บ้านอยู่ใกล้แม่น้ำมูลและอยู่ใกล้ตลาด ชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านหาปลาในแม่น้ำมูลและในระบบนิเวศน์ต่างๆ โดยเฉพาะที่กุดนาแซง ซึ่งห่างจากหมู่บ้านประมาณ 2 กม. กุดนี้เป็นกุดน้ำธรรมชาติอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ ที่มีฝายน้ำล้นกั้นปากกุดไว้ในบริเวณที่เชื่อมต่อกับฮองลีลาก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำมูล
ตารางแสดงปฏิทินการหาปลาในรอบหนึ่งปี
เดือน |
เครื่องมือที่นิยมใช้ |
ปลาเศรษฐกิจที่หาได้ |
เดือน 12 (พฤศจิกายน) |
ใส่มอง เบ็ด แห |
เป็นช่วงที่น้ำกำลังลด จะได้ปลาเป็นจำนวนมากและเป็นปลาขนาดใหญ่ เช่น ปลาหนู ปลากด ปลาตะเพียน ปลาเก้ง ปลาขาว |
เดือนอ้าย–ยี่ (ธันวาคม-มกราคม)
|
ใส่มอง เบ็ด แห |
ได้ปลาเนื้ออ่อน ปลานาง ปลาหนู ปลาตะเพียน |
เดือน 3-4-5 (กุมภาพันธ์-เมษายน) |
ใส่มอง กางขวางลำน้ำ และช่วยกันเอาปลาขึ้นจากเยาะ |
ปลานาง ปลาเก้ง ฯลฯ |
เดือน 6-7-8 (พฤษภาคม-กรกฎาคม) |
ใส่เบ็ด เบ็ดเผียก |
เป็นช่วงน้ำแก่ง น้ำหลากปลาที่ได้เช่น ปลากด ปลาช่อน ปลาดุก ปลาช่อน |
เดือน 9- 10-11 (สิงหาคม-ตุลาคม) |
ชาวบ้านจะหาปลาตามหนองน้ำและทุ่งนาใช้ลอบ,ไซดักปลา ในแม่น้ำมูล ชาวบ้านจะช่วยกันลงเยาะโดยทำแนวกั้นล้อมปลาไว้พอน้ำลดลงประมาณเดือน 3-4 ก็จะช่วยกันจับปลาจากเยาะ |
ช่วงน้ำลง |
ที่มา: กนกวรรณ มะโนรมย์และคณะ (2552)
ชาวบ้านออกหาปลากินเกือบทุกวัน เวลาที่ชาวบ้านแต่ละคนออกหาปลาจะไม่เหมือนกัน บางคนออกหาปลาทั้งวัน บางคนก็หาตอนกลางวันตั้งแต่เช้าถึงบ่ายสองโมงจึงเข้าบ้าน บางคนออกหาปลาตอนกลางคืนนอนเฝ้าอยู่ที่ริมมูลเลยพอเช้าค่อยกลับเข้าบ้าน การขายปลานั้นไม่ได้เป็นกิจกรรมเดียวโดดๆ ระหว่างที่พ่อบ้านไปหาปลา แม่บ้านที่เก็บผักพื้นบ้าน ก็จะนำทั้งปลาและผักไปขายที่ตลาดอำเภอราศีไศล
ภาพถ่ายโดย : ปัญญา คำลาภ
ในปัจจุบัน (ปี พ.ศ. 2552) พบว่า รายได้จากการหาปลามีค่อนข้างมาก บางคนขายปลาได้วันละ200-300บาท ทุกวัน ซึ่งชาวบ้านรู้ดีว่ามีวิธีการหาปลาอยู่วิธีหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านมากกว่าวิธีอื่นๆ นั่นคือ ชาวบ้านได้ลง “เยาะ” ไว้ช่วงหลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จ “เยาะ” เป็นวิธีการจับปลาโดยนำเอากิ่งไม้ที่อยู่ตามบุ่งทามมามัดกองรวมกันแล้วปล่อยทิ้งไว้ในแม่น้ำมูล เมื่อน้ำเริ่มลดลงประมาณเดือนกุมภา พันธ์-มีนาคม ก็จะเริ่มเอาปลาจากเยาะ ปลาที่จับได้จากการลงเยาะ เช่น ปลาขาว ปลานาง ปลาซิว ปลาหมอ ปลาดุก ปลาช่อน ปลาหนู ปลาโด ปลาปาก ฯลฯ ถ้าเยาะมีขนาดใหญ่ก็จะได้ปลามาก บางรายสามารถขายได้ถึงคราวละหลายหมื่น บาท ปลาเศรษฐกิจที่มีราคาดี ได้แก่ ปลารากกล้วย ขายกิโลละ 120 บาทและปลานางขายกิโลละ100-150 บาทแล้วแต่ขนาดของปลา เป็นต้น (กนกวรรณ มะโนรมย์และคณะ 2552)
“ปลา” กับ “ความเป็นชาวนายืดหยุ่น” และ “คำถามใหม่ว่าด้วยสิทธิ”
การหาปลาถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชุมชนแถบที่ราบลุ่มราษีไศล แม้โดยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ปลาจะลดลงไปพอสมควร และการหาปลาไม่ได้เป็นอาชีพหลักของครอบครัวแถบนี้ก็ตาม แต่ชาวบ้านยังคงลงไปหาปลาเพื่อนำมาขายในตลาดระดับท้องถิ่นหรือในหมู่บ้าน รวมทั้งปลายังมีความสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารของชุมชน เนื่องจากเป็นสิ่งที่ชาวบ้านสามารถหากินได้โดยไม่ต้องพึ่งกับข้าวจากตลาดภายนอก และเป็นการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้
“การหาปลา การกินปลา การขายปลา การแลกปลากับสิ่งของต่างๆ การให้ปลา การถวายปลาแก่พระและเทพ” สะท้อนทั้งรูปแบบการผลิตและความสลับซับซ้อนของสังคมชาวนาในยุคทุนนิยมและโลกาภิวัตน์ที่ยังอยู่บนฐานของความเป็นท้องถิ่นได้ดี Yos Santasonbat (2008) อธิบายวิถีชีวิตของชาวนาเป็นวิถีของความซับซ้อนและมีความเป็นพลวัตเป็นอย่างมากในยุคทุนนิยมและโลกาภิวัตน์ ชาวนาไม่ได้ผลิตเพื่อพึ่งตนเอง แต่ชาวนาผลิตเพื่อตลาด สัมพันธ์กับตลาดและทุนนิยม และหากทรัพยากรที่เคยพึ่งพาถูกทำลายด้วยโครงการพัฒนา ชาวนาจะแสดงความสามารถในเรียนรู้ ต่อสู้ ต่อรอง คัดค้าน ประสานและเรียกร้องด้วยวิธีการที่หลากหลายรูปแบบ ชาวนามีความเฉลียวฉลาดในการหยิบฉวยประเด็นต่างๆในท้องถิ่นมานิยามใหม่และใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองเรียกร้องจากรัฐและค่อนข้างได้ผลทีเดียวไม่ว่าการได้ค่าชดเชยไปแล้วกรณีเขื่อนราษีไศลหรือการรับการสนับสนุนงบประมาณการฟื้นฟูวิถีชีวิตแล่ะระบบนิเวศทาม เป็นต้น
ปัจจุบัน ปริมาณปลาที่หาได้มีความแตกต่างจากในอดีตมาก โดยเฉพาะหลังจากสร้างเขื่อนปากมูล และ เขื่อนราศีไศล ชาวบ้านที่หาปลาในสองหมู่บ้านเล่าว่าปริมาณและชนิดของ ปลาลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะปลาใหญ่เช่นปลาอีตู๋ ปลาปึ่ง ปลาโจกปลาแค่ และ ปลากดหิน เป็นต้น เช่น หลังจากมีฝายราศีไศล ชาวบ้านพบว่าสภาพน้ำตามธรรมชาติเปลี่ยนไปมาก ระดับน้ำในแม่น้ำมูลจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาในการเปิดประตูระบายน้ำของฝายราษีไศล ส่งผลให้การหาปลาของชาวบ้านนั้นเปลี่ยนไปเพราะต้องคอยเฝ้าระวังน้ำที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถใช้เครื่องมือหาปลาบางชนิดที่เคยใช้หาปลาในระบบนิเวศเดิมได้อีกอีกต่อไป การสูญหายไปของทรัพยากรป่าทามรวมทั้งปลา ทำให้ชาวบ้านลุกขึ้นมากต่อสู้และต่อรองกับรัฐเพื่อเรียกร้องสิทธิเหนือทรัพยากร
ผู้เขียนเห็นว่า ชาวนาที่ราบลุ่มราศีไศลเป็นชาวนาผู้มีความยืดหยุ่น (Flexible farmers) พวกเขาเรียนรู้และตระหนักรู้เกี่ยวกับในสิทธิพื้นฐานในการใช้ทรัพยากรท้องถิ่น พวกเขารู้จักที่จะหยิบยกประเด็นการทำหากินกับธรรมชาติ ความรู้และความเชื่อท้องถิ่นมาปรับใช้และผสานกับแนวคิดสากลเช่นสิทธิชุมชน สิ่งเหล่านี้สะท้อนการเป็นชาวนาที่มีวิถีชีวิตแบบยืดหยุ่นและปรับตัวต่อรองกับรัฐและทุนนิยม เช่น การนำเรื่องการสูญเสียทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ เช่น “ปลา” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบทั้งหมดมานำเสนอร่วมกับประเด็นสำคัญๆเกี่ยวกับป่าทาม เช่น การสูญเสียป่าบุ่งป่าทาม พื้นที่ทำนา เลี้ยงสัตว์ และอื่น ในการต่อรองกับรัฐ
อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญคือ “สิทธิ” ในการเรียกร้องเพื่อการจัดการทรัพยากรป่าทามเกิดเมื่อใด? เป็นเรื่องที่ชาวบ้านรู้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วเพราะปรากฏในชุมชนมานานแล้วหรือไม่? หรือว่า “สิทธิ” ถูกสร้างขึ้นเมื่อมีปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวภาคประชนเรื่องสิ่งแวดล้อมหลังจากที่ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน? ภายใต้บริบทที่ “สิทธิชุมชน” ได้กลายเป็นกรอบคิดสำคัญในการจัดการทรัพยากรเมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผ่านและเมื่อสังคมชาวนาได้ก้าวสู่สังคมยุคใหม่ที่ชาวนากล้าคิด กล้าแสดงออกถึงสิทธิของตนเอง ชาวนาจึงมิอาจปล่อยให้การสูญหายของปลาและทรัพยากรสำคัญๆในพื้นที่ป่าทามดับสิ้นไปไปพร้อมกับป่าทามที่ถูกน้ำท่วมอย่างถาวรจากการเก็บกักน้ำของเขื่อนราษีไศล
อ้างอิง
กนกวรรณ มะโนรมย์ สุรสม กฤษณะจูฑะ และนพพร ช่วงชิง. 2552 รายงายการประเมินผลกระทบทางสังคม โครงการฝายหัวนา อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ. ศูนย์วิจัยสังคมอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง. คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
คณะนักวิจัยไทบ้านราษีไศล. 2547 ราษีไศล: ภูมิปัญญา สิทธิและวิถีแห่งป่าทามแม่น้ำมูน ในwww.searin.org/Th/ThaiBanResearch.htm - 50k เข้าใช้ข้อมูล 12 มิถุนายน 2559.
ปฐม หงส์สุวรรณ. 2557. ดงภูดิน: เรื่องเล่าศักดิ์สิทธิ์กับปฏิบัติการณ์ความหมายว่าด้วยสิทธิชุมชน. วารสารสังคมลุ่มน้ำโขง. 10 (3): 167-192.
วิสูตร อยู่คง. มปป. น้ำจั้น. http://www.lookforest.com/00_newlook/article_person.php?id_send=229&title_key_id=12 เข้าใช้ข้อมูลวันที่ 13 มิถุนายน 2559
อานันท์ กาญจนพันธุ์. 2544 มิติชุมชน: วิธีคิดท้องถิ่นว่าด้วยสิทธินาจและการจัดการทรัพยากร. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.
Needham, S. & Funge-Smith, S. J. 2014 “The consumption of fish and fish products inthe Asia-Pacific region based on household surveys”. FAO Regional Office for Asia and the Pacific, Bangkok, Thailand. RAP Publication 2015/12. 87pp.
Yos, Santasombat. 2008 Flexible peasants: Reconceptualizing the Third World ruraltypes. Chiang Mai, Thailand: Regional Center for Sustainable Development.
[1] ขอบคุณ ดร.สุรสม กฤษณะจูฑะ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีในการให้ความความเห็นและตั้งคำถามต่อบทความนี้
[2] ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน http://www.mfa.go.th/humanrights/images/stories/book.pdf เข้าใช้ข้อมูล วันที่ 13 มิถุนายน 2559
[3] ให้ข้อมูลวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 ณ สมาคมคนทาม ราศีไศล จ.ศรีสะเกษ
[4] Funge-Smith and Needham (2014) นำข้อมูลจากการสำรวจเศรษฐกิจและสังคมระดับครัวเรือนโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ
[5] Needham and Funge-Smith (2014: 47-48) สำรวจการบริโภคปลาของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า “ปลา” เป็นอาหารที่สำคัญของคนในภูมิภาคนี้ทุกประเทศโดยเฉพาะประเทศหมู่เกาะทั้งหลาย สำหรับประเทศไทยพบว่าคนไทยกินปลาเฉลี่ยประมาณ 31 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ประเทศกัมพูชาเป็นประเทศที่มีคนในกินปลามากที่สุดในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงคือเฉลี่ยประมาณ 61 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
[6] ให้ข้อมูลโดยนายปัญญา คำลาภ วันที่ 30 พฤษภาคม 2559 ณ สมาคมคนทาม อ. ราศีไศล จ.ศรีสะเกษ
[7] คณะนักวิจัยไทบ้านราศีไศล (2547:19) อธิบายว่า “น้ำจั้น” คือน้ำที่ไหลซึมออกมาจากดินตลอดทั้งปีทำให้เกิดบ่อน้ำเล็กๆขึ้นตามริมฝั่งและบริเวณที่น้ำขังตลอดปี เช่น กุด หนอง ฮองและริมแม่น้ำมูล น้ำจั้นเป็นน้ำที่ใสสะอาดและเย็นสามารถดื่มกินได้ทั้งคนและสัตว์ น้ำจั้นมีปลาบางชนิดอาศัยอยู่...ปลา ไหล ปลาค่อกั้ง ปลาซ่อน ปลาหมอ ปลาซิวและปลากระเดิด” คำนิยามนี้สอดคล้องกับ วิสูตร อยู่คง (มปป.)[7] นักวิชาการเกี่ยวป่าทามผู้ให้ความหมายของ “น้ำจั้น” คือน้ำที่ค่อยๆไหลซึมผ่านออกมาจากพื้นดินที่มีดินเหนียวเป็นองค์ประกอบสำคัญ บ่อน้ำจั้นมักพบป่าทามตามริมแม่น้ำและมีน้ำซึมออกมาทั้งปี ทางภาคกลางเรียกว่าน้ำซับ ในภาคอีสานจะพบมาในบริเวณป่าทาม
[8] ให้ข้อมูลโดยนางผา กองธรรม วันที่ 30 พฤษภาคม 2559 สมาคมคนทาม อ. ราศีไศล จ.ศรีสะเกษ
[9] ข้อมูลภาคสนาม (กนกวรรณ มะโนรมย์ และคณะ 2552)
ที่มา : TCIJ วันที่ 28 มิ.ย. 2559
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.