สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์
นิติศาสตร์ ม.เชียงใหม่
แม้นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งลงความเห็นว่ารัฐบาล คสช. บริหารประเทศแบบไร้ทิศทางโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ[1] ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศย่ำแย่มาอย่างต่อเนื่องและยังไม่มีวี่แววว่าจะกระเตื้องขึ้น แต่หากพิจารณาเฉพาะนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมจะพบว่ารัฐบาล คสช. มีทิศทางที่ชัดเจนและเป็นเอกภาพมาโดยตลอด ความเป็นเอกภาพดังกล่าวเดินทางมาถึงจุดสุดยอด เมื่อกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุด นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เสนอร่างรัฐธรรมนูญ โดยตัดบทบัญญัติที่ว่าด้วย “สิทธิชุมชน” ออกไปจากร่างรัฐธรรมนูญ ปรากฏการณ์นี้อันสะท้อนให้เห็นความต่อเนื่องและเป็นเอกภาพของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาล คสช.อย่างชัดเจน
การปรากฏตัวของสิทธิชุมชนในรัฐธรรมนูญปี 2540 ในมาตรา 46 และมาตรา 56 ต่อเนื่องมาถึงรัฐธรรมนูญปี 2550 ในมาตรา 66 และมาตรา 67 นั้น เป็นผลผลิตของการต่อสู้และขับเคลื่อนอย่างยืดเยื้อยาวนานของผู้คนจากหลายภาคส่วนที่เริ่มตั้งแต่ก่อนรัฐธรรมนูญปี 2540 แต่หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านออกมาบังคับใช้จะทำให้สิทธิชุมชนซึ่งเป็นผลผลิตของการต่อสู้เคลื่อนไหวอย่างยากลำบากของภาคส่วนต่าง ๆ มลายหายไปในพริบตา การต่อสู้เคลื่อนไหวเพื่อร่วมกันสถาปนาสิทธิชุมชนในรัฐธรรมนูญที่ใช้เวลาหลายทศวรรษ ผ่านการถกเถียงแลกเปลี่ยนอย่างกว้างขวางในขอบเขตทั่วประเทศเป็นเวลาหลายสิบปี จะกลายเป็น “ทศวรรษที่สาบสูญ” ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง มันจะเป็นเรื่องที่ประหลาดและอัศจรรย์ พอ ๆ กับวรรณกรรมเหนือจริงเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามผู้เขียนจะชี้ให้เห็นว่าหากผู้อ่านได้ติดตามนโยบายและปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาล คสช. มาอย่างต่อเนื่อง ผู้อ่านจะไม่แปลกใจกับข้อเสนอเช่นนี้เลย
1. คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 64/2557 เรื่อง การปราบปรามและการหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ (14 มิ.ย. 2557) และ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 66 / 2557 เรื่อง เพิ่มเติมหน่วยงานสำหรับการปราบปราม หยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้และนโยบายการปฏิบัติงานเป็นการชั่วคราวในสภาวการณ์ปัจจุบัน (17 มิ.ย. 2557)
2. คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 17/2558 เรื่อง การจัดหาที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (ออกเมื่อ 15 พ.ค. 2558)
3. ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ วันที่ 19 สิงหาคม 2558 เรื่อง ยกเว้นให้โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนที่ใช้ขยะมูลฝอยเป็นเชื้อเพลิงทุกขนาดไม่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
4. คำสั่ง คสช.ที่ 3/2559 และ 4/2559 เรื่อง ยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงผังเมืองรวมและกฎหมายควบคุมอาคาร สำหรับการประกอบกิจการบางประเภท ฉบับวันที่ 20 มกราคม 2559
จากการสำรวจนโยบายสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของรัฐบาล คสช. ผู้เขียนเห็นว่าไม่ใช่เหตุบังเอิญที่นโยบายเหล่านี้ค่อนข้างมีเอกภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ เป็นการตัดสินใจแบบรวมศูนย์ของส่วนราชการ ขาดมิติการมีส่วนร่วม ขาดความละเอียดรอบคอบและไม่อิงอยู่บนฐานความรู้ทางวิชาการ และให้ความสำคัญกับมิติทางเศรษฐกิจจนไม่ได้ผนวกเอามิติทางสิ่งแวดล้อมและสังคมไว้ในนโยบายเหล่านี้ ลักษณะร่วมดังที่กล่าวมาในนโยบายต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นปัญหาระดับแนวคิดของรัฐบาล คสช. ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่ทันสมัย ดังจะได้กล่าวในรายละเอียดต่อไป
1. ขาดมิติการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนท้องถิ่น
การดำเนินนโยบายและปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาล คสช. เห็นได้อย่างชัดเจนว่าขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ไม่เคารพสิทธิของประชาชนและชุมชนท้องถิ่นในการกำหนดอนาคตตนเอง จากตัวอย่างผลงานสำคัญ 4 ชิ้น จะเห็นได้ว่าทั้งการริเริ่มและการดำเนินการล้วนผูกขาดโดยหน่วยงานรัฐ ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนหรือชุมชนที่อาจจะได้รับผลกระทบจากนโยบายต่าง ๆ ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารและมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนและแสดงความคิดเห็นก่อนการตัดสินใจ ทั้งที่นโยบายต่าง ๆ จะส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและชุมชนอย่างรุนแรงไปอีกยาวนาน ประกอบกับบรรยากาศทางการเมืองที่ไม่เอื้อต่อการแสดงออกอย่างเสรีของผู้ที่มีความเห็นแตกต่างจากรัฐบาล เนื่องจากยังมีกฎหมายจำกัดการรวมกลุ่มและการแสดงออกของภาคประชาชนบังคับใช้อยู่ โดยมีการบังคับใช้กฎหมายจำกัดเสรีภาพเพื่อข่มขู่ผู้เห็นต่างอย่างสม่ำเสมอ ทำให้นโยบายหรือปฏิบัติการต่างๆ ของรัฐบาล คสช. เป็นการใช้อำนาจแบบเอารัฐราชการเป็นศูนย์กลาง ขาดมิติการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนท้องถิ่นอย่างสิ้นเชิง
2. ขาดการศึกษาวิจัยอย่างรอบด้านก่อนการตัดสินใจ
นอกจากนโยบายและปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาล คสช.จะขาดมิติการมีส่วนร่วมแล้ว ในแง่ของความละเอียดรอบคอบและความเป็นเหตุเป็นผลของนโยบายก็มีปัญหา ดังจะเห็นได้ว่านโยบายที่ออกมานั้น ไม่ปรากฏว่ามีการศึกษาวิจัยข้อมูลอย่างรอบด้านและเป็นระบบรองรับการตัดสินใจแต่อย่างใด ทำให้ไม่เพียงแต่ปัญหาที่รัฐบาล คสช. ต้องการจะแก้ไขไม่สามารถแก้ไขให้สำเร็จลุล่วงได้ดังที่ประสงค์แล้ว นโยบายดังกล่าวยังสร้างปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าปัญหาเดิมขึ้น เช่น การพยายายามแก้ไขปัญหาป่าไม้ในข้อ 1. นำไปสู่การละเมิดสิทธิของประชาชนและชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่ามาก่อนจำนวนมาก หรือ การพยายามแก้ไขปัญหาขยะล้นเมืองโดยการยกเว้นให้โรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะทุกขนาดไม่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในข้อ 3. นำไปสู่การคัดค้านจากประชาชนและชุมชนในหลายพื้นที่ ที่เห็นร่วมกันว่าโรงไฟฟ้าขยะนั่นเองที่จะก่อปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของพวกเขารุนแรงและยาวนาน ยิ่งกว่าผลกระทบจากปัญหาขยะครัวเรือนที่รัฐบาลพยายามจะแก้ เป็นต้น เหล่านี้สะท้อนให้เห็นปัญหาของการตัดสินใจที่นอกจากจะไม่เป็นประชาธิปไตยแล้วยังไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานความรู้รอบด้านและทันสมัย
3. ขาดมิติด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
นโยบายส่วนใหญ่ของ รัฐบาล คสช. แม้จะมีการกล่าวถึงประเด็นทางสิ่งแวดล้อมอยู่ด้วยแต่วัตถุประสงค์หลักคือเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะโดยการออกกฎหมายเปลี่ยนแปลงที่ป่าสงวน, ที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันและที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อนำมาให้เอกชนเช่าทำธุรกิจในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษตามนโยบายข้อ 2. การลดขั้นตอน ลดข้อจำกัดในทางกฎหมายต่างๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจสามารถประกอบกิจการได้อย่างประหยัดและรวดเร็วตามนโยบายข้อ 3 และ 4 การให้ความสำคัญกับประเด็นทางเศรษฐกิจของรัฐบาลต่าง ๆ นั้นเป็นที่เข้าใจได้ เพราะเศรษฐกิจ คือ ปัจจัยชี้ขาดความกินดีอยู่ดีของประชาชนโดยรวม อย่างไรก็ตามสังคมโลกได้พัฒนามาถึงยุคที่ยอมรับว่าการคำนึงถึงมิติทางเศรษฐกิจโดยละเลยมิติด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเท่านั้นแต่ยังจะทำลายเศรษฐกิจ พร้อม ๆ กับสิ่งแวดล้อมและสังคมในระยะยาวด้วย การที่รัฐบาล คสช. มองว่ามาตรการต่าง ๆ ตามกฎหมายเดิมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน เช่น การกำหนดให้โรงไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิงขนาดตั้งแต่ 10 เมกะวัตต์ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อน, การที่กฎหมายผังเมืองกำหนดห้ามไม่ให้ประกอบกิจการบางกิจการในบางพื้นที่, การที่กฎหมายควบคุมอาคารกำหนดควบคุมอาคารบางประเภทในบางพื้นที่ เป็นต้นทุนที่ไม่จำเป็นและเป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ จึงต้องถูกยกเลิก หรือยกเว้นเพื่อให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ง่ายนั้น จึงสะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาไม่เข้าใจหรืออาจจะเข้าใจแต่ไม่เชื่อว่า มิติด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมจำต้องถูกนำไปพิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างสมดุล ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน
สาระสำคัญของสิทธิชุมชนที่ปรากฏ ในรัฐธรรมนูญปี 2540 มาตรา 46 และมาตรา 56 ซึ่งส่งผ่านมายังรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 66 และมาตรา 67 คือ สิทธิในการมีส่วนร่วมในการจัดการและได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสิทธิในการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี โดยเฉพาะในส่วนของสิทธิในการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีนั้น มาตรา 67 ในรัฐธรรมนูญ 2550 ได้กำหนดลงไปถึงรายละเอียดของมาตรการที่จะทำให้สิทธิดังกล่าวเป็นจริงได้ โดยกำหนดว่าโครงการหรือกิจกรรมที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงจะทำไม่ได้เว้นแต่ได้จัดทำการวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย และให้องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพให้ความเห็นก่อนอนุมัติโครงการ
การสถาปนาสิทธิชุมชนไว้ในรัฐธรรมนูญนั้น เป็นผลผลิตและพัฒนาการจากการต่อสู้เรียกร้องของภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม ทั้งภาคประชาชนที่ออกมาต่อสู้เคลื่อนไหวเพื่อแสดงให้สังคมเห็นถึงความสำคัญและจำเป็นของสิทธิชุมชนต่อวิถีชีวิตของพวกเขา ภาควิชาการที่ทำการศึกษาวิจัยเพื่อทำความเข้าใจการเกิดขึ้นและพัฒนาการของสิทธิชุมชนอย่างเป็นระบบ และภาคกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะศาลปกครองที่ได้ทำให้สิทธิชุมชนในรัฐธรรมนูญปรากฏเป็นรูปธรรมผ่านคำพิพากษาที่รับรองสิทธิชุมชนจำนวนมาก เช่น คดีผลกระทบจากเหมืองแร่ตะกั่วต่อชุมชนกะเหรี่ยงในจังหวัดกาญจนบุรี, คดีเพิกถอนใบอนุญาต 76 โครงการในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง เป็นต้น
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณานโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของรัฐบาล คสช. ข้างต้น จะพบว่าไม่ปรากฏร่องรอยหรือแนวคิดในการยอมรับและให้ความสำคัญกับสิทธิชุมชน ในฐานะที่เป็นคุณค่าพื้นฐานของสังคมที่ถูกสถาปนาไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ 2550 อยู่เลย ไม่เพียงเท่านั้น นอกจากไม่ยอมรับและไม่เคารพสิทธิชุมชนแล้ว นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล คสช. ยังไปละเมิด จำกัด ลดทอนหรือแม้แต่ทำลายสิทธิชุมชนในมิติต่าง ๆ เรื่อยมานับตั้งแต่เข้าสู่อำนาจ ปรากฏการณ์เหล่านี้สวนทางกับพัฒนาการของสิทธิชุมชนในสังคมไทยในช่วงหลายหลายทศวรรษที่ผ่านมา ที่มีความมั่นคงและมีแนวโน้มว่าจะพัฒนาและขยายตัวมากขึ้น จากที่กล่าวมาผู้เขียนจึงไม่แปลกใจเลยที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่แต่งตั้งโดย คสช. จะตัดสาระสำคัญของสิทธิชุมชนออกไปจากร่างรัฐธรรมนูญ แต่กลับเห็นว่า มันคือจุดสุดยอดของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาล คสช.
คำถามของผู้เขียนจึงไม่ใช่คำถามที่ว่า ทำไมคณะกรรมาธิการจึงตัดสาระสำคัญของสิทธิชุมชน ออกไปจากร่างรัฐธรรมนูญ แต่ คือคำถามที่ว่าภาคส่วนต่าง ๆ ที่เคยร่วมกันเคลื่อนไหว ต่อสู้ เรียกร้องอย่างยากลำบาก เพื่อสถาปนาสิทธิชุมชนไว้ในรัฐธรรมนูญ จะมีปฏิกิริยาต่อข้อเสนอนี้อย่างไร จะยืนยันสิทธิ ปฏิเสธข้อเสนอที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและย้อนยุคเช่นนี้ โดยเรียกร้องเอารัฐธรรมนูญฉบับประชาชนกลับคืนมาหรือจะยอมรับ “ทศวรรษที่สาบสูญ” ที่ถูกยัดเยียดให้โดยรัฐบาลทหารและกรรมาธิการที่แต่งตั้งโดยทหารชุดนี้
[2] https://tlhr2014.wordpress.com/2015/09/22/landwatch_report/, เข้าถึงเมื่อ 3 ก.พ. 2559
[3]อ่านจดหมายแสดท่าทีขององค์กรภาคประชาชนต่อคำสั่งตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษฉบับเต็มได้ที่ttp://www.seub.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=1650:seubnews&catid=5:2009-10-07-10-58-20&Itemid=14
[5] http://www.citizenthaipbs.net/node/7095, เข้าถึงเมื่อ 6 ก.พ. 2559
ที่มา : ประชาไท วันที่ 16 ก.พ. 2559
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.