“กว่าจะก้าวข้ามเคมีได้ เราต้องฝ่าอุปสรรคกันมานานนับ 10 ปี วันนี้เราอยู่อย่างมีความสุข ได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับสังคม ได้มีโอกาสสร้างกุศลที่ยิ่งใหญ่ ด้วยการผลิตอาหารอินทรีย์ให้กับผู้บริโภค”
เสียงสะท้อนจากหัวใจของ “ประหยัด ปานเจริญ” เจ้าของสวนผลไม้กว่า 80 ไร่ ในพื้นที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ที่ครั้งหนึ่งเคยตกเป็นทาสการทำเกษตรแบบเคมี จนเป็นหนี้สินอีนุงตุงนัง ก่อนตัดสินใจหักดิบเคมีมาทำเกษตรอินทรีย์ ใช้เวลาลองผิดลองถูกนับครั้งไม่ถ้วน แต่ด้วย “หัวใจ” ที่มุ่งมั่น และเปี่ยมด้วยพลังศรัทธา ในที่สุดเธอพาครอบครัว “ปานเจริญ” หลุดพ้นจากวงจรเคมี หวนคืนสู่วิถีอินทรีย์ได้สำเร็จ และอยู่กันอย่างมีความสุข
ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน การมาถึงของยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี นอกจากจะเป็นการซ้ำเติมให้เกษตรกรไทยเป็นหนี้เป็นสิน และเจ็บป่วยมากขึ้นแล้ว ยังทำให้เกษตรกรที่รู้ไม่เท่าทันส่วนใหญ่ ต้องสูญเสียที่ทำกินอีกด้วย เช่นเดียวกับ ป้าประหยัด หญิงร่างเล็ก ในวัย 52 ปี ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพลังศรัทธาในเกษตรวิถีอินทรีย์ หัวหน้ากลุ่มเกษตรอินทรีย์บางช้าง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม หนึ่งในสมาชิกของโครงการสามพรานโมเดล ซึ่งขับเคลื่อนโดยมูลนิธิสังคมสุขใจ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
ป้าประหยัด เล่าจุดเริ่มต้นในวันที่เลือกเดินบนทางสายอาหารเคมีให้ฟังว่า หลังแต่งงาน ก็ตัดสินใจทำอาชีพเกษตรเคมีแบบเต็มตัว ด้วยคิดว่า ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง จะช่วยทำให้ได้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น และได้ราคาสูงขึ้น แต่เมื่อหันหน้าเข้าสู่เกษตรเคมี ทั้ง บริษัทยา บริษัทปุ๋ย ก็เข้ามาชวนเชื่อ อวดอ้างสรรพคุณข้อดีจากผลิตภัณฑ์ กันครึกโครม หลายบริษัทเสนอเงื่อนไขพิเศษ ทั้งลดแหลกแจกแถม ทองคำเอย เครื่องใช้ไฟฟ้าเอย ทีวี วิทยุ รวมถึงรถมอเตอร์ไซค์ ที่ต่างหยิบยื่นให้ในฐานะลูกค้า แต่สิ่งตอบแทนเหล่านั้น แทนที่จะทำให้ครอบครัวเรากินอยู่อย่างสุขสบายมากขึ้น กลับยิ่งสร้างภาระทำให้เป็นหนี้เป็นสินเพิ่มขึ้นไปอีก
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต ป้าประหยัด เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีโอกาสได้ทบทวน เปรียบเทียบวิถีเกษตร ที่เธอกำลังทำ กับการทำเกษตรแบบพึ่งพาธรรมชาติ ครั้งสมัยปู่ ย่า ทำนา ทำสวน ประกอบกับการแพ้สารเคมีของสามี และหนี้ธนาคาร 700,000 บาท ที่กู้มาซื้อยา ซื้อปุ๋ย ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะลด
เมื่อไตร่ตรองจนพบว่า ทุกข์ที่ตัวเธอและครอบครัวกำลังประสบ สาเหตุมาจากผลพวงการทำเกษตรเคมี ที่นับวันรายจ่ายเพิ่มทวีขึ้น เธอจึงหารือคู่ชีวิตเพื่อหาทางออกให้หลุดพ้นห้วงแห่งทุกข์นี้ แม้ผู้เป็นสามีจะไม่เห็นด้วย แต่ป้าประหยัดก็ตัดสินใจหักดิบ หยุดทำเกษตรเคมีทันที ทั้งที่ไม่รู้อนาคต
“ตอนนั้นไม่มีทางเลือกอื่น เพราะถ้าเรายังขืนทำเกษตรเคมีต่อไป วันนี้เราคงไม่มีที่ให้ทำกิน เพราะไม่มีเงินส่งดอกเบี้ยให้ธนาคาร แต่ละเดือนๆ ต้องเสียเงินซื้อปุ๋ยเคมี ซื้อยาฆ่าแมลงจำนวนมาก หักลบแล้วแทนที่จะเหลือใช้หนี้ กลับต้องเป็นหนี้เพิ่มขึ้นอีก แถมสุขภาพยํ่าแย่
จึงต้องตัดใจหักดิบ ไม่เอาละเกษตรเคมี” ป้าประหยัด เล่าถึงความรู้สึกหักดิบ
แม้อานิสงส์จากการหักดิบครั้งนั้น จะไม่ทำให้รํ่ารวยทันตาเห็น แต่ป้าประหยัดก็บอกว่า อย่างน้อยที่สุดการทำเกษตรอินทรีย์ก็ไม่ทำให้เป็นหนี้มากขึ้น และกว่า 3 ปี ที่ลองผิดลองถูกท่ามกลางการจับตามองและเสียงดูหมิ่นจากสังคมเกษตรเคมี หลายครั้งล้มลุกคลุกคลาน
เพราะปัญหาเรื่องตลาด และผู้บริโภคเองยังขาดความรู้เรื่องประโยชน์จากผักอินทรีย์ แต่ก็ไม่เคยท้อใจ และไม่คิดจะหวนกลับไปทำเกษตรเคมีแบบเดิม กระทั่งมีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการสามพรานโมเดล ภายใต้การนำของ คุณอรุษ นวราช กรรมการผู้จัดการ สามพราน ริเวอร์ไซด์ และเลขาธิการมูลนิธิสังคมสุขใจ
ป้าประหยัด ยอมรับว่า ก่อนจะพบกับโครงการสามพรานโมเดล ตนเองก็ทำเกษตรแบบคู่ขนาน คือทำอินทรีย์ควบกับเกษตรเคมีบางส่วน เพราะตลาดอินทรีย์ตอนนั้นอยู่ในวงแคบๆ ทุกอย่างไม่เอื้อให้ทำเกษตรอินทรีย์เลย กระทั่งทีมเจ้าหน้าที่โครงการสามพรานโมเดล ซึ่งเข้า
มาช่วยเรื่องตลาดด้วยความจริงใจ และช่วยเป็นกระบอกเสียงสื่อถึงผู้บริโภคให้เข้าใจวิถีของเกษตรอินทรีย์ ทำให้เรามองเห็นโอกาส มีกำลังใจและเชื่อมั่นในวิถีอินทรีย์มากขึ้น
ปัจจุบันผลผลิตของป้าประหยัดและของสมาชิกในกลุ่ม ทั้ง มะม่วง มะพร้าวนํ้าหอม ฝรั่ง ชมพู่ ถูกส่งเข้าห้องอาหารของโรงแรมสามพราน ริเวอร์ไซด์ เพื่อไว้บริการสำหรับลูกค้า ส่วนหนึ่งเอาไปวางจำหน่ายที่ตลาดสุขใจ (วันเสาร์-อาทิตย์) และออกตลาดสุขใจสัญจรทุกเดือนไปตามย่านธุรกิจในเมือง อาทิ SCB สำนักงานใหญ่ SCG สำนักงานใหญ่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะฝรั่งจะขายดีมาก ทั้งแบบชั่งกิโลและคั้นนํ้าสดๆ สร้างรายได้แต่ละครั้ง 20,000-30,000 บาท เลยทีเดียว
การได้ร่วมสัญจรไปกับตลาดสุขใจตลอด 1 ปี ที่ผ่านมา เป็นช่องทางให้ป้าประหยัด ซึ่งถือเป็นเกษตรกรต้นนํ้า มีโอกาสได้สื่อสารกับผู้ซื้อ (ปลายนํ้า) โดยตรง
“ช่วงแรกๆ หลายคนพูดเหมือนๆ กันว่า ฝรั่งไม่สวยเลย แต่เมื่อลองได้ชิมแล้ว ทุกคนก็จะพูดเหมือนกันอีกว่า ฝรั่งอินทรีย์รสชาติหวาน กรอบ อร่อยกว่าฝรั่งที่เคยกิน ยิ่งผู้บริโภคเข้าใจ และสัมผัสวิถีอินทรีย์ หลายคนยิ่งเห็นคุณประโยชน์ของผัก ผลไม้อินทรีย์ และยินดีจ่ายโดยไม่ต่อรองราคาเลยสักคำ สิ่งที่เรากังวลตอนนี้คือ ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด”
อินทรีย์ไม่ได้เปลี่ยนชีวิต แต่วิถีอินทรีย์ให้ชีวิตป้าประหยัด ช่วยให้ครอบครัวไม่เป็นหนี้เพิ่มขึ้น และยังมีที่ทำกิน ที่สำคัญทำให้สุขภาพของคนในครอบครัวดีขึ้นด้วย สิ่งแวดล้อมก็ดี ทุกวันนี้ระบบนิเวศในสวนกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง สังเกตได้ว่าแมลงบางชนิดซึ่งหายไปนาน อย่างหิ่งห้อย ก็เริ่มกลับมาอาศัยอยู่เหมือนเมื่อก่อน
จากประสบการณ์และจำนวนปีที่ลองผิดลองถูก และความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ที่ได้จากโครงการสามพรานโมเดล ทำให้ป้าประหยัด มีองค์ความรู้มากพอที่จะเปิดสวนของตัวเองเป็นศูนย์เรียนรู้ พร้อมถ่ายทอดประสบการณ์ ให้ผู้ที่สนใจมาศึกษาด้วย เหนืออื่นใด “ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนบ้านหัวอ่าว” หมู่ที่ 5 ตำบลบางช้าง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม แห่งนี้ ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจ ความเชื่อมั่นในการทำเกษตรอินทรีย์ให้กับเกษตรกรที่ได้มาสัมผัสและเรียนรู้ด้วยตัวเอง
“อยากให้คนหันมาทำเกษตรอินทรีย์กันเยอะๆ เพราะเกษตรอินทรีย์มีแต่คุณ ไม่มีโทษ ช่วยสร้างรายได้ที่ยั่งยืนภายในครัวเรือน คืนความสุข และสุขภาพดีให้กับสังคมและชุมชน นอกจากนี้ การทำเกษตรอินทรีย์ช่วยทำให้วงจรสิ่งแวดล้อมกลับมาทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์
เหมือนเดิม ที่สำคัญการทำเกษตรอินทรีย์เท่ากับเราได้ทำบุญ ได้ให้สิ่งดีๆ กับชีวิตคนมากมาย ต่างจากเคมีที่ฆ่าผู้ซื้อทางอ้อมด้วยการเอาสารเคมีให้เขากินวันละน้อย ซึ่งเป็นการทำบาปโดยไม่ตั้งใจ”
ปัจจุบันพื้นที่ 80 ไร่ ของ “สวนปานเจริญ” เต็มไปด้วยผลไม้ ทั้งฝรั่ง มะพร้าว มะม่วง และชมพู่ ที่ปลูกด้วยระบบเกษตรอินทรีย์ ภายใต้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์นานาชาติ หรือ IFOAM (International Federation of Organic Agriculture Movements) และที่สำคัญ “สวนปานเจริญ” กำลังจะได้รับเครื่องหมายการันตีอาหารปลอดภัย จากสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ไทย (มกท.) ในเร็วๆ นี้
แม้วันนี้หนี้ก้อนโตยังไม่ถูกปลดเบ็ดเสร็จ แต่ ป้าประหยัด ปานเจริญ ก็เชื่อมั่นว่าตราบใดที่ยังดำเนินชีวิตไปตามวิถีอินทรีย์ มีรายได้มั่นคง มีสุขภาพที่ดี มีที่ให้ทำกินสุดท้าย ความสุขก็จะตามมา ซึ่งนับว่าเป็นเกษตรกรอินทรีย์ต้นแบบอีกคน ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับเกษตรกรเคมีได้กลับมาสู่วิถีอินทรีย์เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็กระตุ้นผู้บริโภคให้ตื่นตัวและหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้นด้วย
ที่มา : เทคโนโลยีชาวบ้าน วันที่ 12 ม.ค. 2559
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.