คอลัมน์ชั้น 5 ประชาชาติ โดย รัตนา จีนกลาง
แม้ว่าบรรยากาศตอนนี้ บรรดาเจ้าสัวซีอีโอ เจ้าของกิจการ นักธุรกิจทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด จะเริ่มใจชื้นกันขึ้นมาบ้างแล้ว มีความมั่นอกมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้า (2559) จะฟื้นตัวขึ้นแน่ ๆ เพราะไม่น่าจะตกต่ำมากไปกว่านี้อีกแล้ว
อีกทั้งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ รัฐบาลก็ทุ่มแทบหมดหน้าตัก อัดเม็ดเงินหลายแสนล้านบาท และงัดสารพัดมาตรการออกมากระตุกเศรษฐกิจเต็มที่
โดยเฉพาะการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐ ที่วาดหวังไว้ว่าจะเป็นแรงผลักให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน ภาคการก่อสร้างจะได้อานิสงส์มากสุด วัสดุก่อสร้าง อิฐหินปูนทรายขายได้ และจะมีเม็ดเงินสะพัดเข้าไปเติมกำลังซื้อให้กับประชาชนในภาคส่วนต่าง ๆ เงินที่หมุนหลายรอบ สุดท้ายก็จะตกที่ภาคการค้า ยอดขายสินค้าต่าง ๆ ก็จะกระเตื้องขึ้น รัฐก็จะได้ภาษีเพิ่มขึ้น
ทั้งหมดนี้ หวังผลให้เห็นเป็นรูปธรรมกันชัด ๆ ในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ปี พ.ศ. 2559 ทำให้หลายภาคส่วนกลับมามีความหวังกันอีกครั้ง
แต่หัวใจสำคัญในตอนนี้ก็คือ การแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติจริง และการใช้เงินให้เกิดประสิทธิภาพตรงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงหรือไม่ เพราะแม้จะมีไอเดียบรรเจิด ก็ไม่สู้ลงมือทำ เพราะสภาพบ้านเมืองตอนนี้ บทบาทหลักอยู่ที่ภาครัฐ
ครั้นเมื่อลงมือทำแล้ว เจอปัญหา/อุปสรรคเกิดขึ้น ผู้นำหน่วยงาน/ผู้นำประเทศก็ต้องกำกับดูแล ลงมาแก้ไขให้ลุล่วงทันเวลา-ทันปัญหาโดยเร็ว
สิ่งที่อยากจะย้ำก็คือ ในภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง หนทางการส่งออกตีบตันลงเรื่อย ๆ และยังเผชิญกับความผันผวนจากคู่ค้าหลักในตลาดโลกไม่เว้นแต่ละวันเช่นนี้ นักธุรกิจหลายคนที่เคยส่งออกขาเดียวมาตลอด ก็หันมาเจาะตลาดในประเทศมากขึ้น สภาพเช่นนี้คนไทยจึงต้องอยู่ด้วยการแบ่งปันกัน เกื้อกูลกัน
พูดตรง ๆ ก็คือว่า "จะรวยคนเดียว" หรือจะโตเพียงคนเดียวไม่ได้แล้ว เพราะทุกวันนี้ประชาชนค่อนประเทศอยู่ในภาวะยากลำบาก คนตกงาน ข้าวราคาตกต่ำสุด ๆ ราคายางพาราจ่อทรุดลงไปอยู่ที่ 5 โล 100 บาท ประมงไทยก็อยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ส่วนฝั่งบกก็เจอภัยแล้งกระหน่ำ ตอนนี้หลายจังหวัดก็ห้ามเลี้ยงปลากระชังในลำน้ำสำคัญ เพื่อสำรองน้ำไว้ใช้หน้าแล้งปีหน้า
ตอนนี้คนส่วนใหญ่ทำมาหากินฝืดเคือง ไม่มีกำลังซื้อ เว้นแต่ผู้บริโภคกลุ่มบนเท่านั้นที่ยังมีกำลังซื้อ ส่วนบรรดามนุษย์เงินเดือนจำนวนมากก็ไม่กล้าผลีผลามใช้จ่ายเงินทองฟุ่มเฟือย
นี่แหละเหตุผลที่ว่า...เราจะรวยคนเดียวไม่ได้เพราะสังคมไทยประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลายฐานะคนไทย70 ล้านคนมีสัดส่วนกว่าครึ่งที่ยังมีรายได้น้อย ต้องพึ่งพาอาชีพในภาคเกษตรที่แขวนไว้บนความไม่แน่นอนจากสภาพดินฟ้าอากาศ และราคาผันผวน มีรายได้แค่พออยู่พอกิน จุนเจือครอบครัว
แต่ก็อย่าลืมว่า ภาคเกษตรถือเป็น "ความมั่นคงด้านอาหาร" ของประเทศ และยังเป็น "วัตถุดิบต้นน้ำ" สู่การแปรรูปก่อเกิดเป็นอุตสาหกรรมต่าง ๆ เราจึงไม่อาจมองข้ามได้ แต่ทำอย่างไรจะช่วยกันพัฒนาภาคเกษตรของเราให้เป็นระบบ แข็งแกร่งขึ้นจริง ๆ
เพราะถ้าชาวบ้านร้านตลาดไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้ ราคาพืชเกษตรตกต่ำทุกตัว ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวนยาง ชาวประมงขาดทุนยับ หนี้ท่วมหัวเช่นนี้ แล้วใครจะมีเงินไปซื้อสินค้าที่บรรดาเสี่ยใหญ่-เสี่ยอินเตอร์ทั้งหลายผลิตออกมา
ตอน นี้ทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอุปโภคบริโภค บ้าน คอนโดฯ ยอดขายก็แผ่วทั้งนั้น แม้แต่อาหารสดทั้งหมู เป็ด ไก่ ซีฟู้ด ยอดขายก็ฝืดสุด ๆ เช่นกัน
ภาวะตอนนี้ คนซื้อไม่มีกำลังที่จะซื้อ เป็นปัญหาในฝั่งดีมานด์ ในฝั่งของคนขาย หรือคนผลิตสินค้า ถือว่าไม่ได้มีปัญหาด้านกำลังการผลิต เพราะมีเครื่องจักรที่ทันสมัยแต่ปมใหญ่คือผลิตออกมาแล้วขายไม่ได้ กลายเป็นวังวน งูกินหาง เพราะเศรษฐกิจมันเชื่อมโยงถึงกันหมดทั้งคนมีฐานะและชาวบ้านตาดำ ๆ
ภาวะเช่นนี้เองที่ดำรงอยู่จริง ทุกฝ่ายทั้งคนรวย-คนจน ไม่อาจเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคง หากไม่จับมือกันแล้วเดินไปด้วยกัน แชร์ประโยชน์ให้กันและกัน
นับเป็นความจำเป็นเร่งด่วน ของคนไทย ที่จะต้องสร้างโอกาส สร้างการเข้าถึงข้อมูล เข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ยังกระจุกตัวอยู่เฉพาะกลุ่ม ให้กระจายไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพให้ประชาชน เพราะไม่ควรนำเงินไปแจกกันฟรี ๆ
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ วัันที่ 22 ธ.ค. 2558
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.