ตอนที่ ๒: ความร่วมมือระหว่างบริษัท อัครา ไมนิ่ง จำกัด และหน่วยงานราชการของรัฐ ในการทำคำชี้แจงและให้ถ้อยคำต่อศาลปกครองพิษณุโลกเพื่อพิจารณาและพิพากษาคดี ที่ชาวบ้านเขาหม้อยื่นฟ้องให้เพิกถอนประทานบัตรเหมืองแร่ทองคำและเงิน
บทความชิ้นนี้เป็นตอนที่ ๒ ต่อจาก ตอนที่ ๑: ความร่วมมือระหว่างบริษัท อัครา ไมนิ่ง จำกัด และหน่วยงานราชการของรัฐ ในการทำคำชี้แจงและให้ถ้อยคำต่อศาลปกครองพิษณุโลกเพื่อพิจารณาคำขอให้ศาลมี คำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา
จากกรณีที่ศาลปกครองพิษณุโลกออกนั่งพิพากษาคดีระหว่างนางสาวสื่อ กัญญา ธีระชาติดำรง ชาวบ้านบ้านเขาหม้อ ต. เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร ซึ่งเป็นผู้ฟ้องคดี กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) คณะกรรมการเหมืองแร่ อธิบดีกรมป่าไม้ องค์การบริหารส่วนตำบลเขาเจ็ดลูก ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ – ๕ ตามลำดับ และบริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ร้องสอด เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา โดยมีคำพิพากษาว่า “ให้เพิกถอนประทานบัตรที่ ๒๖๙๑๗/๑๕๘๐๔, ๒๖๙๒๒/๑๕๘๐๕, ๒๖๙๒๑/๑๕๘๐๖, ๒๖๙๒๐/๑๕๘๐๗ และ ๒๖๙๒๓/๑๕๘๐๘ ลงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑ โดยให้การเพิกถอนมีผลในวันที่ผู้ร้องสอดไม่จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ สิ่งแวดล้อมของโครงการเหมืองแร่ทองคำให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประกาศกระ ทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทาง ด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ ให้เสร็จสมบูรณ์ภายในกำหนดหนึ่งปี หรือเมื่อรายงานนั้นไม่ได้รับความเห็นชอบ ทั้งนี้นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด คำขออื่นให้ยก”
ในกระบวนการไต่ สวนและแสวงหาข้อเท็จจริงก่อนการพิจารณาคดีและคำพิพากษามีการยื่นคำชี้แจงและ ให้ถ้อยคำต่อศาลโดยบริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด และหน่วยงานราชการของรัฐ ในประเด็นที่เป็นสาระสำคัญหลายประการซึ่งส่งผลต่อการพิจารณาและพิพากษาคดี ดังกล่าวของศาลในเวลาต่อมา
คดีนี้นางสาวสื่อกัญญา ธีระชาติดำรง ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองพิษณุโลกตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดยขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ดังนี้
๑. เพิกถอนประทานบัตรที่ ๒๖๙๑๗/๑๕๘๐๔, ๒๖๙๒๒/๑๕๘๐๕, ๒๖๙๒๑/๑๕๘๐๖, ๒๖๙๒๐/๑๕๘๐๗ และ ๒๖๙๒๓/๑๕๘๐๘
๒. เพิกถอนมติของสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเขาเจ็ดลูก เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๘
๓. เพิกถอนคำสั่งกรมป่าไม้ที่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ ป่าไม้ ตามหนังสือกรมป่าไม้ ที่ ทส ๑๖๐๒.๔/๑๓๙๖ ลงวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๑
๔. ขอให้สั่งระงับการดำเนินการใด ๆ ในเขตพื้นที่ประทานบัตรทั้ง ๕ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายเป็นการชั่วคราว
ซึ่ง ศาลได้มีคำสั่งรับคำฟ้องไว้พิจารณาและสั่งให้บริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด เข้ามาเป็นคู่กรณีในฐานะผู้ร้องสอด โดยนางสาวสื่อกัญญา ธีระชาติดำรง หรือผู้ฟ้องคดีมีคำขอมาพร้อมคำฟ้องโดยขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธี การเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาโดยขอให้สั่งระงับการดำเนินการใด ๆ ในเขตพื้นที่ประทานบัตรพิพาททั้ง ๕ แปลงตามที่ได้กล่าวไปแล้ว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายเป็นการชั่วคราว และมีคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินเพื่อให้ศาลมีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้ม ครองชั่วคราว ลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. ให้ระงับการดำเนินการใดในเขตพื้นที่ประทานบัตรพิพาท
๒. ให้เปิดทางสาธารณประโยชน์เพื่อให้ผู้ฟ้องคดีและประชาชนในชุมชนสามารถใช้สัญจรไปมาได้
๓. กำหนดมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวอื่นใดตามที่ศาลเห็นสมควรเพื่อไม่ให้ฝุ่น ละอองและเสียงที่เกินมาตรฐานรบกวน ก่อความรำคาญต่อชาวบ้านและชุมชน อีกทั้งกำหนดไม่ให้ทำให้เกิดสารพิษเจือปนในน้ำใต้ดินและลำคลองตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตของประชาชนในชุมชนอย่างร้ายแรง
แต่ หลังจากที่ศาลมีคำสั่งยกคำขอในเรื่องการกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทา ทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาของผู้ฟ้องคดีแล้ว (โปรดดูบทความ ตอนที่ ๑: ความร่วมมือระหว่างบริษัท อัครา ไมนิ่ง จำกัด และหน่วยงานราชการของรัฐ ในการทำคำชี้แจงและให้ถ้อยคำต่อศาลปกครองพิษณุโลกเพื่อพิจารณาคำขอให้ศาลมี คำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา) ศาลได้ดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมต่อไปโดยมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดี และหน่วยงานราชการต่าง ๆ ยื่นคำชี้แจงและให้ถ้อยคำเพิ่มเติม เรียกเอกสาร ตรวจสอบสถานที่การทำเหมืองและหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบ ตั้งคณะกรรมการพยานผู้เชี่ยวชาญ ฯลฯ การชี้แจงและให้ถ้อยคำส่วนใหญ่ในชั้นนี้ยังคงถกเถียงวนเวียนอยู่ในประเด็น เดิม ๆ ตามที่ได้กล่าวไว้ในบทความตอนที่ ๑ แล้ว แต่ก็มีประเด็นใหม่ที่น่าสนใจเพิ่มเติมเข้ามา ดังนี้
ประเด็นแรก – กพร. ให้ความเห็นชอบแผนผังโครงการทำเหมืองที่ถูกแก้ไขโดยลำพังตนฝ่ายเดียว โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจาก สผ. และ คชก.
ผู้ ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และ ๒ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ให้การเพิ่มว่า กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้พิจารณาแผนผังโครงการทำเหมืองแร่ที่ ได้แก้ไขแล้วเห็นว่า การแก้ไขปรับปรุงแผนผังโครงการทำเหมืองมีความเหมาะสม ไม่กระทบกับข้อกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ และไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดและความรุนแรงของผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพิ่มขึ้นจากที่ประเมินไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนด โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และได้กำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมให้ถือ ปฏิบัติแล้ว
มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ เหมืองแร่ทองคำชาตรี และโครงการเหมืองแร่ทองคำชาตรีเหนือ มีเนื้อหาในส่วนที่ระบุถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบในการพิจารณาให้ความเห็นชอบ แผนผังโครงการทำเหมืองที่ถูกแก้ไขเหมือนกัน คือ หากผู้ถือประทานบัตรมีความประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำเหมือง หรือเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมชนิดแร่ หรือการดำเนินงานที่แตกต่างจากที่เสนอไว้ในรายงานฯ จะต้องเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการทำเหมืองและการดำเนินงานในการเปลี่ยน แปลงดังกล่าว ประกอบกับมาตรการป้องกันผลกระทบที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ให้สำนัก งานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาให้ความเห็นชอบด้าน สิ่งแวดล้อมก่อน
จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแผนผังโครงการทำเหมืองย่อมส่ง ผลกระทบต่อข้อกำหนดในมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ และอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดและความรุนแรงของผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพิ่มขึ้นจากที่ประเมินไว้ได้ บ้านเมืองจึงได้สร้างดุลอำนาจทางกฎหมายขึ้นมา ดังที่ปรากฏสะท้อนอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา ๖๗ และอีกหลายมาตราที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน เพื่อให้หน่วยงานที่กำกับดูแลด้านการให้อนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ คือ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) และหน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับ ดูแลหรือวางมาตรการเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม คือ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) ทำการตรวจสอบเอกสารที่สำคัญร่วมกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนหรือดีที่สุด ว่าการเปลี่ยนแปลงแผนผังโครงการทำเหมือง วิธีการทำเหมือง เปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมชนิดแร่ หรือการดำเนินงานอื่นใดที่แตกต่างจากที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ สิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอ ที่ได้รับความเห็นชอบไปแล้วจะไม่ส่งผลกระทบกระเทือนต่อสิ่งแวดล้อมอย่าง รุนแรงเกินกว่าที่ประเมินหรือคาดการณ์ไว้ขึ้นมาในภายหลัง
แต่ กพร. กลับใช้อำนาจโดยพลการ ไม่ให้ความสำคัญต่อความคิดเห็นของหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบด้านสิ่งแวด ล้อมอย่างจริงใจ ทั้งที่อีไอเอ และมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ สผ. และ คชก. กำหนดเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยนเพื่ออนุมัติให้ความเห็นชอบอีไอเอนั้น ล้วนเป็นเงื่อนไขบังคับให้ กพร. หรือเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายในการพิจารณาสั่งอนุญาตประทานบัตร หรือต่อใบอนุญาตอื่นใดต้องปฏิบัติตาม โดยให้ถือว่าเป็นเงื่อนไขที่กำหนดตามกฎหมายในเรื่องนั้นด้วย แต่ กพร. กลับไม่นำแผนผังโครงการทำเหมืองที่ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงส่งให้กับ สผ. ให้ความเห็นชอบก่อน ตามที่ระบุไว้ในมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด
ประเด็นที่สอง – การมีส่วนร่วมของประชาชนไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
ผู้ ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และ ๒ ให้การเพิ่มว่า กรณีการทำประชาคมหมู่บ้านตามที่ผู้ฟ้องคดี กล่าวอ้างนั้น เป็นการชี้แจงรายละเอียดโครงการของผู้ร้องสอดให้ประชาชนในพื้นที่ทราบถึง ผลดีหรือผลเสียและแนวทางป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่มีอาจจะเกิด ขึ้น ซึ่งความเห็นดังกล่าวจะนำไปใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาให้ความเห็นของผู้ถูก ฟ้องคดีที่ ๕ มิใช่การขอความเห็นชอบหรือการทำประชามติ แม้ว่าประชาชนที่ไม่เห็นด้วยมีเสียงข้างมากก็เป็นเพียงความเห็นเบื้องต้น เท่านั้น และการให้ความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ก็เป็นเพียงความเห็นประกอบการพิจารณาอนุญาตของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เช่นกัน ไม่มีผลผูกพันให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ตามความเห็นของประชาชนในพื้นที่ แต่นำความเห็นดังกล่าวมาประกอบเพื่อกำหนดเป็นเงื่อนไขหรือวิธีการแก้ไขผล กระทบที่อาจเกิดขึ้น
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และ ๒ ให้การเพิ่มเติมในทำนองเดียวกันอีกว่า การประกาศคำขอประทานบัตรตามมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ การจัดทำประชาคมหมู่บ้านหรือการรับฟังความคิดเห็น การขอความเห็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการตรวจสอบและเฝ้าระวังผลกระทบสิ่งแวดล้อม ถือเป็นการให้ประชาชนมีส่วนร่วม มิใช่ว่าหากประชาชนเสียงข้างมากเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยแล้ว หน่วยงานของรัฐต้องถือตามแต่อย่างใด เนื่องจากการอนุญาตหรือไม่ต้องพิจารณาตามกฎหมาย กฎ และระเบียบที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และ ๒ นำความเห็นของประชาชนมาประกอบการพิจารณาส่วนหนึ่งเพื่อกำหนดเป็นเงื่อนไข หรือวิธีการแก้ไขผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการทำเหมืองแร่ กำกับดูแลการทำเหมืองแร่ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด จึงมีเหตุอันสมควรที่จะออกประทานบัตรได้
จากคำให้การของ กพร. ได้ทำให้เห็นทัศนคติที่ชัดเจนของหน่วยงานรัฐหน่วยงานหนึ่งว่ามีมุมมองต่อ กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเช่นไร นั่นคือเห็นว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนมีสถานะเป็นเพียงความเห็นที่นำมา กำหนดเป็นเงื่อนไขหรือวิธีการแก้ไขผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการทำเหมืองแร่ เท่านั้น ซึ่งเป็นการให้บทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชนเพียงแค่ร่วมมือกับโครงการที่ อยู่ระหว่างการให้ความเห็นชอบหรือได้รับความเห็นชอบแล้ว โดยธรรมเนียมปฏิบัติในส่วนของกิจการเหมืองแร่ กพร. จะนำความเห็นของประชาชนไปกำหนดเป็นเงื่อนไขหรือวิธีการแก้ไขผลกระทบที่อาจ เกิดขึ้นจากการทำเหมืองแร่เอาไว้ในเงื่อนไขในการให้อนุญาตประทานบัตร และในมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมในอีไอเอ เนื่องจาก กพร. มีส่วนร่วมเป็นคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่ง แวดล้อมด้านโครงการเหมืองแร่ (คชก.) ด้วย แต่หลักการการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ปรากฎสะท้อนอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับ ปัจจุบัน ตามมาตรา ๖๗ และมาตราอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันจะต้องประกอบด้วย ๕ ข้อเป็นอย่างน้อย คือ (๑) การให้ข้อมูลข่าวสาร (๒) การรับฟังความคิดเห็น (๓) ความเกี่ยวข้อง โดยให้ประชาชนร่วมเสนอแนะแนวทางที่นำไปสู่การตัดสินใจ (๔) ความร่วมมือ โดยให้ประชาชนเป็นหุ้นส่วนกับรัฐในทุกขั้นตอนของการตัดสินใจ และมีการดำเนินกิจกรรมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง และ (๕) การเสริมอำนาจแก่ประชาชน โดยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ
สิ่งที่น่าแปลกใจต่อท่าทีของ กพร. ที่เห็นความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นเพียงแค่ความเห็นประกอบ เงื่อนไขอนุญาตให้ประทานบัตร และมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่บรรจุอยู่ในอีไอเอที่ได้รับ ความเห็นชอบแล้ว ก็คือ กพร. ให้การต่อศาลว่าได้นำความเห็นของประชาชนมาประกอบการพิจารณาเพื่อกำหนดเป็น เงื่อนไขหรือวิธีการแก้ไขผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการทำเหมืองแร่และกำกับ ดูแลให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด แต่ทำไม กพร. จึงให้ความเห็นชอบกับแผนผังโครงการทำเหมืองที่ถูกแก้ไขโดยพลการฝ่ายเดียวได้ โดยไม่ให้ความสำคัญต่อความเห็นของประชาชนที่ กพร. นำมากำหนดไว้ในมาตราการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ระบุไว้ข้อ หนึ่งว่าการเปลี่ยนแปลงแผนผังโครงการทำเหมืองต้องได้รับความเห็นชอบจาก สผ. ด้วย
ประเด็นความสงสัยจึงมาจบอยู่ตรงที่ว่า แท้จริงแล้ว กพร. ให้ความสำคัญต่อความเห็นของประชาชนในขั้นตอนและกระบวนการมีส่วนร่วมของ ประชาชนตรงไหนบ้างหรือไม่ สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อไปก็คือในเมื่อขั้นตอนและกระบวนการมีส่วนร่วมของ ประชาชนมีสถานะเป็นกฎหมาย หรือเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติไว้ในกฎหมาย ดังที่ได้ปรากฏสะท้อนอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ตามมาตรา ๖๗ และมาตราอื่นที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน ดังนั้น เมื่อ กพร. เห็นว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นเพียงแค่ความเห็นประกอบเงื่อนไขอนุญาต ให้ประทานบัตร และมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่บรรจุอยู่ในอีไอเอที่ได้รับ ความเห็นชอบแล้ว เท่านั้น จึงเท่ากับว่า กพร. ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนและกระบวนการมีส่วนร่วมให้ถูกต้องตามกฎหมายใช่หรือไม่
ประเด็นที่สาม – โครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งในส่วนเหมืองแร่และโรงถลุงแร่
ผู้ ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และ ๒ ให้การเพิ่มเติมต่อศาลว่า กรณีรายงานข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรมที่เปิดเผยว่าโครงการของผู้ร้องสอดติด ๑ ใน ๑๐ ของโครงการที่เข้าข่ายที่มีผลกระทบต่อชุมชนนั้น เป็นความจริงตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้าง แต่เห็นว่า โครงการหรือกิจการที่จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นั้นต้องพิจารณาตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภท ขนาด และวิธีปฏิบัติสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน อย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนจะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งโครงการของผู้ร้องสอดมิใช่โครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผล กระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ตามประกาศดังกล่าว แต่ปัจจุบันผู้ร้องสอดได้ขออนุญาตเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มแผนผังและกรรมวิธีประ กอบโลหกรรมเพื่อขยายกำลังการผลิตโลหะทองคำเพื่อให้มีกำลังการผลิตตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ตัน ต่อวัน ขึ้นไป ซึ่งการขออนุญาตเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมดังกล่าวเข้าข่ายโครงการหรือกิจการ ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงตามประกาศดังกล่าวที่จะต้องจัด ทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรแจ้งให้ผู้ร้องสอดดำเนินการตาม ประกาศดังกล่าวแล้ว
ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ หรือ อธิบดี กพร. ยื่นคำชี้แจงและให้ถ้อยคำต่อศาลในทำนองเดียวกันอีกว่า ส่วนการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ นั้น โครงการหรือกิจการที่จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ตามบทบัญญัติดังกล่าว ต้องพิจารณาตามประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภท ขนาด และวิธีปฏิบัติสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน อย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนจะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ ตามประกาศดังกล่าว โครงการทำเหมืองแร่ทองคำของผู้ร้องสอดไม่เข้าข่ายเป็นโครงการที่มีผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฯ จึงไม่ต้องจัดทำรายงาน การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) แต่ปัจจุบันผู้ร้องสอดได้ขออนุญาตเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มแผนผังและกรรมวิธีประ กอบโลหกรรมเพื่อขยายกำลังการผลิตและโลหะทองคำ เพื่อให้มีกำลังการผลิตตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ตันต่อวันขึ้นไป ซึ่งการขออนุญาตเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมดังกล่าวเข้าข่ายโครงการหรือกิจการ ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงที่จะต้องจัดทำรายงานการ วิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลำดับที่ ๕.๓ ของประกาศดังกล่าวซึ่งผู้ร้องสอดได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเสร็จสิ้น แล้วและจะจัดทำรายงานสรุปความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและสาธารณชน พร้อมทั้งคำชี้แจงและนำเสนอขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและ สุขภาพส่งให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนัก งานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เพื่อทราบและเพื่อเผยแพร่แก่สาธารณชน และในปัจจุบันยังมิได้อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มแผนผังและ กรรมวิธีประกอบโลหกรรมแต่อย่างใด
จะเห็นได้ว่า กพร. ทุ่มเททำงานหนักมากเพื่อปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ร้องสอด หรือบริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด อย่างเต็มกำลังความสามารถ ไม่มีความเห็นใดเลยของ กพร. ที่ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนไทย และไม่มีความเห็นใดของ กพร. อีกเช่นกัน ที่แสดงความห่วงใย เอื้ออาทรต่อประชาชนในพื้นที่โดยรอบประทานบัตรพิพาททั้ง ๕ แปลง แม้สักนิดเดียว โดยเฉพาะประเด็นนี้จะเห็นการบิดเบือนข้อมูลอย่างรุนแรงหลายประการประกอบ กัน
ในเบื้องแรก กพร. ให้ความช่วยเหลือบริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด อย่างเต็มที่โดยให้การต่อศาลว่าโครงการทำเหมืองแร่ทองคำชาตรีเหนือ ที่มีประทานบัตรพิพาท ๕ แปลง รวมอยู่ด้วย ของบริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด ไม่เข้าข่ายเป็นโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงตาม ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภท ขนาด และวิธีปฏิบัติสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน อย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนจะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ออกตามความมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฯ จึงไม่ต้องจัดทำรายงาน EHIA แต่อย่างใด แต่ในประกาศกระทรวงฉบับดังกล่าวมีรายละเอียดเกี่ยวกับประเภทโครงการที่อาจ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฯ ระบุไว้ โดยในส่วนของอุตสาหกรรมผลิตทองคำมีรายละเอียดอยู่ในข้อ ๒.๒ ว่า การทำเหมืองแร่ตะกั่ว เหมืองแร่สังกะสี หรือเหมืองแร่โลหะอื่นที่ใช้ไซยาไนด์หรือปรอทหรือตะกั่วไนเตรต ในกระบวนการผลิต หรือเหมืองแร่โลหะอื่นที่มีอาร์เซโนไพไรต์ (arsenopyrite) เป็นแร่ประกอบ (associated mineral) และข้อ ๕.๓ ว่า อุตสาหกรรมถลุงแร่ ทองแดง ทองคำหรือสังกะสี ดังนั้น เมื่อดูรายละเอียดที่ปรากฏอยู่ในประกาศกระทรวงฉบับดังกล่าวแล้วก็ต้องถือว่า โครงการทำเหมืองแร่ทองคำชาตรีเหนือ ที่มีประทานบัตรพิพาท ๕ แปลง รวมอยู่ด้วย ของบริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด เป็นโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ที่ต้องจัดทำ EHIA ด้วยเหตุว่าในคำพิพากษาฉบับเดียวกัน ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยื่นคำชี้ แจงและให้ถ้อยคำว่า แหล่งแร่ทองคำของผู้ร้องสอดมีการกำเนิดแบบสายแร่อุณหภูมิต่ำ โดยแร่ทองคำจะเกิดร่วมกับสายแร่ควอร์ต-อาดูลาเรีย แร่คาร์บอเนต และมีแร่กำมะถันเกิดร่วมในปริมาณต่ำ ๆ และเกิดใต้ระดับผิวดินหรือดินลูกรัง สายแร่ที่เกิดขึ้นจะมีทั้งในส่วนที่เป็นเม็ดแร่ทองคำอิสระ และที่เป็นเม็ดแร่ทองคำผสมอยู่กับแร่เงิน และฝังตัวอยู่ในเม็ดแร่ควอร์ตและแร่คาร์บอเนต นอกจากนี้ยังพบโลหะอื่น ๆ เช่น โครเมียม แบเรียม พลวง สังกะสี โมลิบดินัม สารหนู ซึ่งโลหะดังกล่าวมีสูงกว่าเปลือกโลกเล็กน้อยถึงปานกลาง มูลหินที่มีสายแร่ดังกล่าวสามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ กลุ่มมูลหินที่มีศักยภาพในการก่อฤทธิ์ให้เป็นกรดจะมีปริมาณกำมะถันมากกว่า คาร์บอเนต และกลุ่มมูลหินที่ไม่มีศักยภาพในการก่อฤทธิ์ให้เป็นกรดจะมีปริมาณคาร์บอเนต มากกว่ากำมะถัน โดยกรดในมูลหินอาจรั่วไหลออกสู่สิ่งแวดล้อมจากการเปิดหน้าดินและหรือเกิดจาก การชะล้างของกรดในกองมูลหินลงสู่ผิวดิน และอาจทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของโลหะต่าง ๆ ที่อยู่ในมูลหินรั่วซึมหรือชะล้างเข้าสู่สิ่งแวดล้อม และจากรายงานฉบับสมบูรณ์โครงการการวิเคราะห์ทิศทางการไหลของน้ำใต้ดินและการ ประเมินปริมาณธาตุโลหะหนักในพื้นที่เหมืองแร่ทองคำชาตรี ที่บริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด ว่าจ้างภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉบับเดือนมกราคม ๒๕๕๒ ที่ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และ ๒ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และอธิบดี กพร. ตามลำดับ นำมามอบให้ศาลนั้นระบุไว้ว่า จากข้อมูลคุณภาพน้ำผิวดินพบว่าปริมาณของซัลเฟตค่อนข้างสูงโดยเฉพาะช่วงที่ เกิดฝนตกทั้งนี้น่าจะเกิดจากการที่ฝนชะละลายซัลเฟอร์จากหินที่กองอยู่อยู่ใน พื้นที่บริเวณรอบเหมืองลงสู่แหล่งน้ำผิวดินและบ่อน้ำใต้ดินระดับตื้นได้ จากข้อมูลคุณภาพน้ำใต้ดินสันนิษฐานว่าบ่อเก็บกักกากแร่น่าจะเป็นแหล่งของมล สารเนื่องจากพบว่ามลสารที่ตรวจพบในบ่อสังเกตการณ์บริเวณด้านท้ายของบ่อเก็บ กากแร่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบกับมลสารที่ตรวจพบใน บ่อที่อยู่ด้านเหนือของบ่อเก็บกักกากแร่ นอกจากนี้พบว่าปริมาณของสารหนู (As) ที่ตรวจพบในบ่อสังเกตการณ์ไม่เกินมาตรฐานน้ำดื่ม (๐.๐๕ มิลลิกรัมต่อลิตร) ยกเว้นบ่อที่ใกล้กับบ่อกักเก็บกากแร่ที่มีค่าใกล้เคียงค่ามาตรฐานน้ำดื่มและ มีแนวโน้มสูงขึ้นตลอดช่วงการวัด (พ.ศ. ๒๕๔๙ – ๒๕๕๑) ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นดังกล่าวไม่น่าจะเกิดจากการปนเปื้อนจากบริเวณอื่นของ พื้นที่ ซึ่งมีแนวโน้มเป็นการปนเปื้อนเฉพาะพื้นที่และอาจเกิดจากการ oxidation ของแร่อาซีโนไพไรต์ (Arsenopyrite) ที่ส่งผลให้การเพิ่มขึ้นของปริมาณของ As ในบ่อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูล ที่ได้จากรายงานดังกล่าวก็เป็นที่แน่ชัดว่าแหล่งแร่ทองคำและเงินของบริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด มีอาร์เซโนไพไรต์เป็นแร่ประกอบ ความจริงแล้วสาระสำคัญที่ปรากฏอยู่ในข้อ ๒.๒ ของประกาศกระทรวงฉบับดังกล่าวไม่สมควรวิเคราะห์เพียงว่าแหล่งแร่ทองคำหรือ แร่โลหะอื่นมีอาร์เซโนไพไรต์เป็นแร่ประกอบหรือไม่ สาระสำคัญน่าจะอยู่ที่พิษของสารหนูในสภาพแวดล้อมที่เกิดจากการทำเหมือง มากกว่า ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นสารหนู (Arsenic) ในรูปของธาตุชนิดหนึ่งที่สามารถอยู่โดดเดี่ยวได้อย่างเสรีในธรรมชาติ หรือรูปของแร่ประกอบอาร์เซโนไพไรต์ (Arsenopyrite) ที่มีธาตุเหล็ก สารหนูและซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบ ตามสูตรเคมี FeAsS ก็มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับพิษของสารหนูจากทั้ง ๒ รูปแบบ จึงทำให้ย้อนคิดไปตั้งแต่ช่วงก่อนประกาศกระทรวงฉบับดังกล่าวจะถูกประกาศใช้ บังคับเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ ว่าทำไมถึงต้องทำให้ข้อความใน ๒.๒ ตามประกาศกระทรวงฉบับดังกล่าว มีความสลับซับซ้อนจนทำให้ยากต่อความเข้าใจแก่ประชาชนทั่วไปด้วย ก็เพราะมีความพยายามจากหลายภาคส่วนจงใจที่จะหลีกเลี่ยงพิษของสารหนูในรูปของ ธาตุอิสระ (As) ที่มีรายงานพบอยู่มากมายตามธรรมชาติบริเวณแหล่งแร่ทองคำชาตรีและชาตรีเหนือ ของบริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด ส่วนอาร์เซโนไพไรต์เท่าที่สำรวจดูเอกสารวิชาการเกี่ยวกับการสำรวจแร่ทองคำ บริเวณแหล่งแร่ทองคำชาตรีและชาตรีเหนือ รวมทั้งตามชายขอบเทือกเขาเพชรบูรณ์ซึ่งเป็นแหล่งแร่ทองคำบริเวณเดียวกันไม่ พบการกล่าวถึงอาร์เซโนไพไรต์เลย นี่ก็เป็นการเล่นแร่แปรธาตุรูปแบบหนึ่งของผู้มีความรู้ทางด้านธรณีวิทยา แหล่งแร่ และพวกวิศวกรรมเหมืองแร่ทั้งหลาย
จะเห็นได้ว่าประกาศกระ ทรวงฉบับดังกล่าวมีเจตนาให้จัดทำรายงาน EHIA ทั้งในส่วนของกิจการทำเหมืองแร่ทองคำ ดังรายละเอียดในข้อ ๒.๒ ของประกาศกระทรวงฉบับดังกล่าว และส่วนของโรงงานถลุงแร่ทองคำ ดังรายละเอียดที่ปรากฏในข้อ ๕.๓ ของประกาศกระทรวงฉบับดังกล่าว ดังนั้นเอง บริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด จะต้องจัดทำรายงาน EHIA สองฉบับ คือ รายงาน EHIA ในส่วนกิจการเหมืองแร่ฉบับหนึ่งและส่วนของโรงประกอบโลหกรรมส่วนขยายอีกฉบับ หนึ่ง โดยเฉพาะในส่วนกิจการเหมืองแร่ตามโครงการเหมืองแร่ทองคำชาตรีเหนือของบริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด ที่เข้าข่ายโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฯ ตามเหตุผลที่ได้กล่าไป ต้องจัดทำรายงาน EHIA ตามประทานบัตรรวมทั้งหมด ๙ แปล ไม่ใช่ทำรายงาน EHIA เฉพาะประทานบัตรพิพาท ๕ แปลง ที่ถูกฟ้องขอให้เพิกถอนประทานบัตรในคดีนี้ แต่ต้องรวมอีก ๔ แปลง ฝั่งเพชรบูรณ์ที่ไม่ถูกนำมาฟ้องขอให้เพิกถอนประทานบัตรร่วมกับคดีนี้ด้วย ก็เพราะเป็นประทานบัตรชุดเดียวกันจากแหล่งแร่เดียวกัน ไม่ใช่จัดทำรายงาน EHIA ในส่วนของโรงงานประกอบโลหกรรมส่วนขยายที่กำลังขยายกำลังการผลิตโลหะทองคำ เพียงฉบับเดียวตามคำให้การที่บิดเบือนต่อศาลของ กพร.
ข้อบิดเบือนที่เป็น ประเด็นต่อเนื่องกันอยู่ตรงข้อความที่ กพร. ให้การต่อศาลว่าปัจจุบันผู้ร้องสอด หรือบริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด ได้ขออนุญาตเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มแผนผังและกรรมวิธีประกอบโลหกรรมเพื่อขยาย กำลังการผลิตโลหะทองคำ เพื่อให้มีกำลังการผลิต ๑,๐๐๐ ตันต่อวันขึ้นไป ซึ่งเป็นการกระทำที่เข้าข่ายโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่าง รุนแรงที่จะต้องจัดทำรายงาน EHIA ตามข้อ ๕.๓ ของประกาศกระทรวงฉบับดังกล่าวนั้น แท้จริงแล้วโรงงานถลุงแร่ทองคำหรือโรงประกอบโลหกรรมเพื่อผลิตโลหะทองคำมี กำลังการผลิตเกิน ๑,๐๐๐ ตันต่อวัน มาตั้งแต่ดำเนินการทำเหมืองแร่ทองคำและผลิตโลหะทองคำตามโครงการเหมืองแร่ ทองคำชาตรี ที่อีไอเอได้รับความเห็นชอบมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ และได้รับอนุญาตประทานบัตรมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๓ แล้ว โดยบริษัทฯ ได้เพิ่มกำลังผลิตเป็น ๘,๐๐๐ ตันต่อวันมาได้สามสี่ปีแล้ว ดังนั้นจึงเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ กพร. ให้การเท็จต่อศาล สิ่งที่ กพร. ควรกระตือรือล้นทำตั้งแต่ที่ประกาศกระทรวงฉบับดังกล่าวเริ่มใช้บังคับเมื่อ วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๓ คือสั่งให้บริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด ดำเนินการจัดทำรายงาน EHIA ในส่วนของโรงงานประกอบโลหกรรมเพื่อผลิตโลหะทองคำที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ ๘,๐๐๐ ตันต่อวัน มาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่มาสั่งให้บริษัทฯ ดำเนินการจัดทำ EHIA ตาม ๖๗ วรรคสองในช่วงที่บริษัทฯ ขอขยายโรงงานประกอบโลหกรรมเพื่อผลิตโลหะทองคำจากกำลังการผลิตในปัจจุบันที่ ๘,๐๐๐ ตันต่อวัน เป็น ๓๒,๐๐๐ ตันต่อวันในช่วงนี้ เสมือนเป็นการสร้างภาพต่อศาลว่าได้กำกับดูแล ติดตาม ตรวจสอบการทำเหมืองแร่ทองคำของบริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด อย่างใกล้ชิดเป็นอย่างดีมาตลอด ไม่มีข้อบกพร่องใด ๆ จากการปฏิบัติงานทั้งสิ้น
ประเด็นต่อเนื่องเพิ่มเติมอยู่ตรงที่ กพร. และ สผ. หรือ คชก. ยังมิได้อนุญาตให้บริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มแผนผังและกรรมวิธีประกอบโลหกรรมส่วนขยายเพื่อผลิตโลหะ ทองคำ จากกำลังการผลิต ๘,๐๐๐ ตันต่อวัน เป็น ๓๒,๐๐๐ ตันต่อวัน แต่อย่างใด แต่ทำไมบริษัทฯ ถึงได้จัดทำรายงาน EHIA ในส่วนของโรงประกอบโลหกรรมส่วนขยายเพื่อผลิตทองคำจาก ๘,๐๐๐ ตันต่อวัน เป็น ๓๒,๐๐๐ ตันต่อวัน ได้ โดยขณะนี้บริษัทฯ ได้ดำเนินการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นเพื่อกำหนดขอบเขตแนวทางการประเมินผล กระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (Public Scoping) เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ และจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นการทบทวนร่างรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวด ล้อมและสุขภาพ (Public Review) เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๔ ที่ผ่านมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตามหลักเกณฑ์ วิธีการที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทาง ด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ โดยคาดว่าขณะนี้บริษัทฯ กำลังดำเนินการจัดทำร่างรายงาน EHIA เสนอให้กับ สผ. และ คชก. พิจารณาให้ความเห็นชอบในเร็ววันนี้ ซึ่งตามหลักการแล้วการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มแผนผังโครงการทำเหมืองหรือ กรรมวิธีประกอบโลหกรรมเป็นเนื้อหาอันเป็นสาระสำคัญที่จะต้องปรากฏอยู่ใน รายงานอีไอเอ หรือกรณีโครงการอาจเกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฯ ก็ต้องเป็นการจัดทำรายงาน EHIA เพื่อที่หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลทางด้านสิ่งแวดล้อมจะได้ประเมิน วิเคราะห์หรือคาดการณ์และวางมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้ อย่างรอบคอบครบถ้วน ไม่ใช่จัดทำรายงานอีไอเอ หรือ EHIA โดยไม่มีเนื้อหาสาระสำคัญของการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มแผนผังโครงการทำเหมือง หรือกรรมวิธีประกอบโลหกรรมปรากฏอยู่ด้วย
และยิ่งเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นเมื่อ พบว่าบริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด ดำเนินการก่อสร้างโรงงานประกอบโลหกรรมส่วนขยายเพื่อผลิตทองคำเพื่อเพิ่ม กำลังการผลิตเป็น ๓๒,๐๐๐ ตันต่อวัน เกือบเสร็จหมดแล้ว โดยติดตั้งอุปกรณ์พร้อมใช้งานได้ รอเพียงการเปิดระบบเท่านั้น แต่กำลังจัดทำรายงาน EHIA เพื่อขอความเห็นชอบ และขอใบอนุญาตก่อสร้างโรงงานตามหลัง โดยมี กพร. วางเฉยต่อพฤติกรรมที่มิชอบด้วยกฎหมายของบริษัทฯ
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.