กรณีปัญหาการปลูกสร้างสวนป่าคอนสารทับที่ดินทำกิน และที่อยู่อาศัยต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ
1. ประเด็นปัญหา
สวนป่าคอนสารเริ่มดำเนินการเมื่อ ปี พ.ศ. 2521 เป็นต้นมา ตามเงื่อนไขการสัมปทานทำไม้ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าภูซำผักหนาม บริเวณพื้นที่ป่าเหล่าไฮ่ โดยการปลูกสร้างสวนป่าดำเนินการตามระบบโครงการหมู่บ้านป่าไม้ เนื้อที่ทั้งสิ้น 4,401 ไร่ อย่างไรก็ตาม การปลูกสร้างสวนป่าไม่ได้ดำเนินการในพื้นที่เป้าหมายบริเวณป่าเหล่าไฮ่ แต่ได้เข้ามาปลูกในพื้นที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัยของราษฎร ตามพื้นที่สวนป่าในปัจจุบัน ทำให้เกิดทับซ้อนที่ดินของชาวบ้าน และนำมาสู่ปัญหาผลกระทบ และความขัดแย้งในเวลาต่อมา ทั้งนี้ สามารถพิจารณาการเข้ามาปลูกสร้างสวนป่าขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ได้ดังต่อ ไปนี้
(1) การชักชวนให้ชาวบ้านเข้าเป็นสมาชิกโครงการหมู่บ้านป่าไม้ โดยจะได้สิทธิทำงานเป็นลูกจ้างของ ออป. ได้ที่ดินทำกินคนละ 5 ไร่ และที่อยู่อาศัยอีก 1 ไร่ กรณีที่ชาวบ้านไม่ยินยอม จะมีการข่มขู่ คุกคาม และใช้มาตรการทางกฎหมายเข้าดำเนินการกับชาวบ้าน รวมทั้งมีการจ้างผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ (นักเลง) เข้ามาข่มขู่ เช่นกรณีการจับกุมนาย รื่น เลิศคอนสาร ชาวบ้านหัวปลวกแหลมในข้อหาเผาป่า การจับกุมนายทองคำ เดชบำรุง ชาวบ้านทุ่งพระข้อหาตัดต้นไม้ จำคุก 3 เดือน การจับกุมนายวรรค โยธาธรรม ข้อหามีอาวุธสงครามอยู่ในครอบครอง ซึ่งกรณีนายวรรค โยธาธรรม ไม่ยินยอมออกจากพื้นที่ จึงมีการใส่ร้ายโดยการนำเอาระเบิดมาฝังไว้ในพื้นที่ จากนั้นก็เข้าดำเนินการจับกุม
(2) การเรียกเก็บใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ของชาวบ้าน โดยเจ้าหน้าที่สวนป่าสัญญาว่าจะจ่ายค่าชดเชยให้ชาวบ้าน ไร่ละ 100 บาท จนถึงปัจจุบันชาวบ้านไม่ได้รับค่าชดเชยดังกล่าว ลักษณะการเรียกเก็บหลักฐานข้างต้น จะใช้วิธีข่มขู่จากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ผู้ปกครองท้องถิ่น เพื่อบังคับให้ชาวบ้านยินยอมมอบหลักฐานให้
(3) กรณีบ้านน้อยภูซาง จำนวน 11 ครัวเรือน ที่มีที่ทำกิน และที่อยู่อาศัยในบริเวณเป้าหมายการปลูกสร้างสวนป่า ถูกบังคับให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกโครงการหมู่บ้านป่าไม้ แต่ชาวบ้านไม่ยินยอมโดยอ้างว่าจะอยู่ที่เดิม ทางเจ้าหน้าที่ได้ข่มขู่ จนกระทั่งบางส่วนต้องจำยอมอพยพเข้าอยู่อาศัยในพื้นที่จัดสรรตามโครงการหมู่ บ้านป่าไม้ บางส่วนย้ายกลับไปอยู่กับญาติพี่น้อง และบางส่วนไม่ยินยอมย้ายออกจากพื้นที่ เช่นกรณีของนาย ลอง อุ่นขัวเรือน ชาวบ้านหัวปลวกแหลม ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เดิมจนถึงปัจจุบัน
(4) การดำเนินการตามระบบหมู่บ้านป่าไม้ โดยการจัดสรรที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยเป็นแปลง จำนวน 100 แปลง จำแนกผู้มีคุณสมบัติที่จะได้รับสิทธิออกเป็นสองประเภท คือ เจ้าของที่ดินเดิม และคนทั่วไปที่เข้ามาอยู่เป็นลูกจ้าง โดยได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ โรงเรียน และวัด ในปัจจุบันมีสมาชิกในชุมชน จำนวนประมาณ 130 ครัวเรือน ซึ่งขนาดของชุมชนที่เพิ่มขึ้นจากเดิมส่วยใหญ่มีลักษณะเป็น “ครอบครัวขยาย” อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานตามระบบโครงการหมู่บ้านป่าไม้ก็ยังไม่สามารถจัดสรรที่ทำกินให้กับสมาชิกหมู่บ้านป่าไม้ ได้จนกระทั่งปัจจุบัน
(5) การดำเนินการปลูกสร้างสวนป่า ในช่วงระยะแรกจะให้ผู้นำหมู่บ้าน หรือผู้มีอิทธิพล เป็นผู้คุมคนงานปลูกป่า เพื่อป้องกันการกระทบกระทั่งกับเจ้าของที่ดิน โดยจะปลูกทับพื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้านที่อยู่ในช่วงของการผลิต และการเก็บเกี่ยว พันธุ์ไม้ที่ปลูกในระยะแรกจะเป็นไม้เบิกนำ เช่น ไม้เลื่ยน กฐินณรงค์ นนทรี ส่วนไม้ยูคาลิปตัส นำเข้ามาปลูกใน ปี พ.ศ. 2528 เป็นต้นมา
2. สภาพปัญหา และผลกระทบ
จาก การดำเนินการปลูกสร้างสวนป่าคอนสาร ได้ก่อผลกระทบต่อราษฎรในพื้นที่ รวมทั้งโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้เดือดร้อนตลอดช่วง 27 ปีที่ผ่านมา โดยสามารถจำแนกสภาพปัญหาผลกระทบได้ดังต่อไปนี้
2.1) กรณีผู้เดือดร้อนที่เกิดจากการปลูกสร้างสวนป่าทับที่ดินทำกิน ได้แก่ ชาวบ้านที่มีที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย อยู่ในพื้นที่ปลูกสร้างสวนป่าปัจจุบัน
2.2) กรณีผู้เดือดร้อนที่เป็นสมาชิกโครงการหมู่บ้านป่าไม้ ได้แก่ ชาวบ้านที่ยินยอมเข้าเป็นสมาชิกโครงการหมู่บ้านป่าไม้ ที่ได้รับสัญญาว่าจะดำเนินการจัดสรรที่ดินทำกิน และที่อยู่อาศัยให้ แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถดำเนินการจัดหาที่ดินทำกินได้
2.3) กรณีผู้เดือดร้อนที่เป็นครอบครัวขยาย หมาย ถึง ชาวบ้านที่เป็นบุตร เขย สะใภ้ หรือทายาท ของเจ้าของที่ดินเดิม ซึ่งปัจจุบันประสบปัญหาเรื่องที่ดิน กล่าวคือ ไร้ที่ดินทำกิน หรือที่ดินทำกินไม่เพียงพอ
3. การดำเนินการแก้ไขปัญหา
การคัดค้านโครงการปลูกสร้างสวนป่าคอนสารของชาวบ้านเริ่มต้นมาตั้งแต่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เริ่มเข้ามาดำเนินโครงการ เมื่อปี พ.ศ. 2521 เป็น ต้นมา โดยชาวบ้านเรียกร้องให้ยกเลิกการปลูกสร้างสวนป่าโดยเด็ดขาด และคืนสิทธิที่ดินทำกินแก่ราษฎรผู้เดือดร้อน แต่อย่างไรก็ตาม ออป. ยัง คงเข้าดำเนินการกระทั่งปัจจุบัน ต่อมามีการร้องเรียนของราษฎรมาโดยตลอดทั้งการยื่นหนังสือข้อร้องเรียนผ่าน กลไกปกติของทางราชการ เช่น นักการเมือง หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง หรือการชุมนุมของชาวบ้าน ช่วงปี พ.ศ. 2539 – 2540 เป็นต้น กระทั่งปี พ.ศ. 2547 ชาวบ้านในนาม “เครือข่ายองค์กรชาวบ้านอนุรักษ์ลุ่มน้ำเซิน” ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อนายอำเภอคอนสาร (นายสมศักดิ์ อิทธิวรกุล) โดยกรณีสวนป่าคอนสารมีข้อเรียกร้องดังนี้
(1) ให้ยกเลิกสวนป่าคอนสารโดยเด็ดขาด
(2) ให้ออกเอกสารสิทธิ์แก่ราษฎรผู้เดือดร้อน
(3) พื้นที่ที่มีสภาพป่าสมบูรณ์ที่ไม่มีการถือครองทำประโยชน์มาก่อน ให้สิทธิแก่ชุมชน ท้องถิ่นจัดการ ทรัพยากรป่าไม้ ในรูปแบบ “ป่าชุมชน”
ต่อมาวันที่ 9 – 11 พฤศจิกายน 2547 เครือข่ายองค์กรชาวบ้านอนุรักษ์ลุ่มน้ำเซิน ได้ชุมนุมที่หน้าสำนักงานสวนป่าคอนสาร ผลการชุมนุมดังกล่าว ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ (นายประภากร สมิติ) ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาปัญหากรณีราษฎรอำเภอคอนสารชุมนุมเรียก ร้อง มีปลัดจังหวัดชัยภูมิ เป็นประธาน โดยมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
(1) รับประเด็นปัญหาข้อร้องเรียนจากกลุ่มราษฎร และพิจารณาเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาให้แก่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
(2) ดำเนินการเจรจาต่อรองกับกลุ่มราษฎร เพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว
(3) สรุปผลการแก้ไขปัญหา รายงานต่อผู้ว่าราชการจังหวัดทราบ
อย่าง ไรก็ตาม การดำเนินการของคณะทำงานเป็นไปอย่างล่าช้า และขาดองค์ประกอบของชาวบ้านผู้เดือดร้อนเข้าร่วมตามเจตนารมณ์ของคำสั่งแต่ง ตั้ง กระทั่งวันที่ 14 มีนาคม 2548 ชาวบ้านได้ชุมนุมเพื่อติดตามปัญหาที่หน้าที่ว่าการอำเภอคอนสาร ผลการชุมนุมได้จัดประชุมคณะทำงานชุดผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งแต่งตั้ง โดยกรณีสวนป่าคอนสารที่ประชุมมีมติให้แต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาราษฎรกรณี ปลูกป่าทับที่ดินทำกินกรณีสวนป่าองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ มีหัวหน้าสวนป่าคอนสาร เป็นหัวหน้าคณะทำงาน โดยมีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามมติคณะทำงานระดับจังหวัดโดยเร็ว
วันที่ 29 มีนาคม 2548 ประชุมคณะทำงาน ครั้งที่ 1 ณ ห้องประชุมอำเภอคอนสารโดยมี นายชนะโชติ ศรีกุล ปลัดอาวุโสอำเภอคอนสารเป็นประธานที่ประชุม มติที่ประชุมให้คณะทำงานลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าราษฎรที่ร้องเรียนมี ความเดือดร้อนจริงหรือไม่ และให้มีการออกแบบฟอร์มสำรวจและคณะทำงานได้ข้อสรุปว่ามีราษฎรที่ได้รับผล กระทบจากการปลูกสร้างสวนป่าคอนสารจริง และมีราษฎรที่เดือดร้อนจริง จำนวน 277 ราย และมีการจำแนกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1) กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากการปลูกสร้างสวนป่าทับที่ดินทำกิน
2) กลุ่มผู้เดือดร้อนจากกรณีการดำเนินการตามโครงการหมู่บ้านป่าไม้
3) กลุ่มผู้เดือดร้อนจากครอบครัวขยาย
จาก ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเห็นว่ายังขาดข้อมูลที่ชัดเจน จึงมีการลงพื้นที่ของคณะทำงานฝ่ายชาวบ้านในการสำรวจรังวัดแนวเขตรายแปลง โดยมีกลุ่มชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการปลูกสร้างสวนป่า เป็นผู้นำชี้ ซึ่งผลจากการรังวัดพื้นที่ โดยส่วนใหญ่ในพื้นที่การปลูกสร้างสวนป่าคอนสารเดิมได้มีการครอบครองของราษฎร ทั้งหมดยกเว้นพื้นที่บางส่วนที่เป็นพื้นที่รอยต่อกับเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า ผาผึ้งซึ่งมีลักษณะเป็นป่าธรรมชาติ และพื้นที่บางส่วนยังปรากฏหลักฐานการครอบครองจากร่องรอยการทำประโยชน์คันแดน พืชสวน พืชไร่ และการทำประโยชน์ต่อเนื่องของเกษตรกรบางราย รวมทั้งมีพื้นที่ในการขอใช้ประโยชน์ของส่วนราชการและสำนักสงฆ์ด้วย จึงได้จัดทำแผนที่แสดงการครอบครองที่ดินเดิมของราษฎรดังกล่าวเพื่อเสนอต่อ คณะทำงานคราวต่อไป
วันที่ 7 กรกฎาคม 2548 ประชุมคณะทำงานครั้งที่ 2 ณ ห้องประชุมอำเภอคอนสารโดยมี นายชนะโชติ ศรีกุล ปลัดอาวุโสอำเภอคอนสารเป็นประธานที่ประชุม ที่ประชุมได้แสดงความคิดเห็นโดยส่วนใหญ่มีความเห็นว่าราษฏรที่ร้องเรียนดัง กล่าวมีความเดือดร้อนจริง และมติให้ยกเลิกสวนป่าคอนสาร และนำพื้นที่มาจัดสรรให้กับราษฎรที่เดือดร้อน ยกเว้นในส่วนของหัวหน้าสวนป่าคอนสาร นายประกาศิต ปริมา และเจ้าหน้าที่สวนป่าได้ขอสงวนสิทธิในการออกเสียงในครั้งนี้ และที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา จึงเห็นว่าการแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวเป็นอำนาจการตัดสินใจเชิงนโยบาย ที่ประชุมจึงกำหนดแนวทางโดยให้ทางอำเภอคอนสารให้รายงานผลการดำเนินงานของคณะ ทำงานรายงานการประชุมต่อไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด และให้ประธานคณะทำงานจังหวัดได้ดำเนินการเสนอผลการดำเนินงาน และ แนวทางการแก้ไขปัญหาของคณะทำงานต่อผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ได้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน
วันที่ 16 – 17 ตุลาคม 2548 คณะอนุกรรมการสิทธิในการจัดการที่ดินและป่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาตามข้อร้องเรียนของราษฎรอำเภอคอนสาร และได้มีการเร่งรัดให้อำเภอคอนสารได้ติดตามเอกสารรายงานผลการดำเนินการดัง กล่าวอย่างเร่งด่วน
วันที่ 31 ตุลาคม 2549 ประชุมร่วมระหว่างคณะอนุกรรมการสิทธิในการจัดการที่ดินและป่า กับผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ สืบเนื่องจากการร้องเรียนของราษฎรของจังหวัดชัยภูมิ มติในที่ประชุมในส่วนกรณีสวนป่าคอนสารให้มีการตั้งคณะทำงานพิจารณาการแก้ไข ปัญหาของกรณีสวนป่าคอนสาร โดยมีปลัดจังหวัดเป็นประธาน เพื่อผลักดันแนวทางการแก้ไขปัญหาของราษฎรต่อระดับนโยบายต่อไป
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2550 คณะทำงานแก้ไขปัญหาสวนป่าคอนสารประชุม ณ ห้องประชุมอำเภอคอนสาร โดยที่ประชุมได้พิจารณากรณีการทำลายฝายน้ำล้น และไม้ผล ไม้ยืนต้นของนายงด บุญญาชีพ ราษฎรผู้เดือดร้อนสวนป่าคอนสาร ซึ่งที่ประชุมมีมติให้นายประกาศิต ปะริมา หัวหน้าสวนป่าคอนสาร ทำการปรับปรุงฝายดังกล่าวให้แล้วเสร็จ ส่วนเรื่องการจ่ายเงินค่าชดเชยการทำลายไม้ยืนต้น ให้เจรจากันอีกครั้งภายหลังจากมีการปรับปรุงฝายให้เสร็จก่อน และมีการพิจารณาเรื่องการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่สวนป่าคอนสารของชาวบ้านผู้ เดือดร้อนในฤดูการผลิตนี้ โดยชาวบ้านผู้เดือดร้อนได้สำเนารายชื่อผู้ที่ประสงค์เข้าทำประโยชน์เสนอต่อ ที่ประชุมด้วย ที่ประชุมได้มีมติให้จัดทำโครงการปฏิรูปที่ดินและระบบการผลิตแบบยั่งยืน ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เสนอไปยังผู้มีอำนาจตัดสินใจทางนโยบาย ส่วนการสำรวจพื้นที่ที่จะเข้าทำประโยชน์ให้หัวหน้าสวนป่าคอนสาร และคณะทำงานลงตรวจสอบพื้นที่ที่เหมาะสมต่อไป
วันที่ 22 เมษายน 2550 คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ด้านการจัดการที่ดินและป่าได้จัดเวทีทางวิชาการ ณ ห้องประชุมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีการเชิญหน่วยงานขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ โดยมีรักษาการผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้และคณะกับผู้แทนกลุ่มราษฎร ที่มีการร้องเรียน เพื่อระดมปัญหาและหาทางออกร่วมกัน และแนวทางการดำเนินการพื้นที่นำร่องการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทความขัดแย้ง ระหว่างชาวบ้านผู้ร้องเรียนกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ซึ่งกรณีสวนป่าคอนสาร เป็นหนึ่งในเจ็ดกรณี ที่กำหนดเป็นพื้นที่นำร่องด้วย และจะมีการนัดหมายเพื่อหามาตรการแนวทางการแก้ไขให้ชัดเจนขึ้นอีก ในคราวต่อไปโดยจะมีการประสานงานอีกครั้งหนึ่ง
วันที่ 2 พฤษภาคม 2550 มีการประชุมเจรจาร่วมระหว่าง ผู้แทนองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้และคณะกับผู้แทนกลุ่มราษฎรพื้นที่นำร่อง 7 พื้นที่ ณ ห้องประชุมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมี คุณสุนีย์ ไชยรส คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้านการจัดการที่ดินและป่า เป็นประธานที่ประชุม ในการเจรจากรณีสวนป่าคอนสารได้เสนอโครงการ“พัฒนาระบบการผลิตอย่างยั่งยืนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง” มีการพิจารณาประเด็นเร่งด่วนของราษฎรคือ การขอเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่สวนป่าคอนสารในระหว่างการแก้ไขปัญหาทางนโยบาย เหตุผลคือ ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการปลูกสร้างสวนป่าคอนสารตลอดระยะกว่า 30 ปี ไม่มีที่ดินทำกินและที่ดินทำกินไม่เพียงพอ มีมติคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ยกเลิกสวนป่าคอนสารแล้ว และระยะนี้ได้เข้าช่วงฤดูทำการผลิตแล้ว และที่ผ่านมาทางสวนป่าได้ให้บุคคลทั่วไปได้เข้าทำประโยชน์ซึ่งไม่ใช่ผู้ เดือดร้อน ส่วนการแก้ไขปัญหาข้อเรียกร้องให้มีการยกเลิกเพิกถอนสวนป่าคอนสารนั้น จะต้องมีการพิจารณารายระเอียดในการตัดสินใจของหน่วยงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อีกครั้งหนึ่ง ข้อสรุปคือประเด็นการเข้าทำประโยชน์ให้กลุ่มชาวบ้านที่เดือดร้อนทำแผนการ เข้าทำประโยชน์และให้ทางหัวหน้าสวนป่าคอนสารตัดสินใจได้เลย โดยให้สิทธิกับกลุ่มชาวบ้านที่เดือดร้อน 277 คนเป็นหลัก
วันที่ 24 พฤษภาคม 2550 คณะทำงานตัวแทนฝ่ายชาวบ้านได้เข้าหารือร่วมกับหัวหน้าสวนป่าคอนสารในประเด็น การเข้าทำประโยชน์ในที่ดินสวนป่าคอนสาร และการพิจารณาแก้ปัญหากรณีสวนป่าคอนสารใช้รถแทร๊กเตอร์ไปไถทำลายฝายและ ต้นไม้ที่นายงด บุญญาชีพ ได้ปลูกดูแลไว้ก่อนการปลูกสร้างสวนป่าจนถึงปัจจุบัน โดยมีการนัดหมายในการดำเนินการขอยื่นเข้าทำประโยชน์ของกลุ่มเครือข่ายองค์กร ชาวบ้านอนุรักษ์ลุ่มน้ำเซิน กรณีสวนป่าคอนสาร อีกครั้ง
วันที่ 8 มิถุนายน 2550 หัวหน้าสวนป่าคอนสารได้ออกแบบฟอร์มให้ไปศึกษาก่อนเพื่อให้ทราบเกี่ยวกับ ระเบียบ ข้อตกลง ข้อบังคับต่างๆให้ชัดเจนก่อน และให้เข้าชื่อมา
วันที่ 10 มิถุนายน 2550 ผู้เดือดร้อนกรณีสวนป่าคอนสารได้ประชุมมีมติไม่ขอเข้าทำประโยชน์ เนื่องจาก สวนป่าคอนสารมีการใช้มาตรการ ระเบียบข้อบังคับที่จำกัดสิทธิในการใช้ประโยชน์ ซึ่งกลุ่มชาวบ้านที่เดือดร้อนเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงขอยุติการดำเนินการร่วมในครั้งนี้ไว้ก่อนจนกว่าจะมีคำตอบของผู้มีอำนาจ ตัดสินใจในเชิงนโยบายต่อไป
วันที่ 28 ธันวาคม 2550 นายประนูญ สุวรรณภักดี รองเลขาธิการ ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีหนังสือถึงนายญวนตรี รังรา ผู้แทนเครือข่ายองค์กรชาวบ้านอนุรักษ์ลุ่มน้ำเซิน เรื่องแจ้งผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีสวนป่าคอนสาร ตามหนังสือที่ สม 0003 / 2034 ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2550 โดยคณะอนุกรรมการสิทธิในการจัดการที่ดินและป่า ชุดที่ 2 มีมติว่า การกระทำของกรมป่าไม้ และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ในการปลูกสร้างสวนป่าคอนสาร ทำให้ผู้ร้องได้รับความเดือดร้อน ไม่มีที่ดินทำกิน ทั้งที่ผู้ร้องได้ครอบครองทำประโยชน์มาก่อนสวนป่าคอนสาร ซึ่งเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิในที่ดินและทรัพย์สินของผู้ร้อง ขณะที่การแก้ไขปัญหาที่ล่าช้าของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ก็เป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ร้อง คณะอนุกรรมการฯจึงได้กำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหา และมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ดังนี้
มาตรการแก้ไขปัญหา
1. ให้รัฐบาลมีคำสั่งยกเลิกสวนป่าคอนสาร ตามมติคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีสวนป่าคอนสาร เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2548 ภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับรายงานฉบับนี้
2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการพัฒนาระบบการผลิตและการจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ร้อง โดยสนับสนุนให้ชุมชนร่วมกับหน่วยงานของรัฐ จัดทำแผนการจัดการและใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมทั้งการจัดเป็นป่าชุมชน ภายใน 90 วัน นับจากวันที่ยกเลิกสวนป่าคอนสาร
นอก จากนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้มีความเห็นและมติเห็นชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการสิทธิในการจัดการ ที่ดินและป่า ตามรายงานการประชุมครั้งที่ 29 / 2550 เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2550
วันที่ 29 ธันวาคม 2551 ประชุมประชาคมตำบลทุ่งพระ โดยนายวิชัย พลอยปัทมวิชิต กำนันตำบลทุ่งพระเป็นประธานการประชุม โดยมีการพิจารณากรณีปัญหาสวนป่าคอนสาร ซึ่งผลการประชุมประชาคมตำบลทุกหมู่บ้านมีมติให้ยกเลิกสวนป่าคอนสาร และให้ดำเนินการจัดสรรที่ดินให้กับราษฎรผู้เดือดร้อน พร้อมกันนี้ ในระหว่างการแก้ไขปัญหาจนกว่าจะได้ข้อยุติ ให้ราษฎรผู้เดือดร้อนสามารถเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ได้ จำนวนเนื้อที่ 1,500 ไร่
วันที่ 4– 12 มีนาคม 2552 เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.) ได้ชุมนุมติดตามการแก้ไขปัญหาที่ทำเนีบยรัฐบาล จากนั้น วันที่ 9 มีนาคม 2552 นายกรัฐมนตรี (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ) ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูป ที่ดินแห่งประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และวันที่ 11 มีนาคม 2552 คณะกรรมการชุดดังกล่าว ได้จัดประชุมครั้งที่ 1 / 2552 ณ ห้องประชุมอาคารรัฐสภา โดยที่ประชุมได้พิจารณาปัญหาเร่งด่วน กรอบนโยบายการแก้ไขปัญหา และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศ ไทย ทั้งนี้ ข้อเสนอเร่งด่วนเรื่องที่เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน กรณีราษฎรสมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยที่อยู่อาศัยในเขตสวนป่า พื้นที่ป่าไม้ เขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตวนอุทยาน ป่าสงวนแห่งชาติ และเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่มีข้อพิพาทกับหน่วยงานภาครัฐ และอยู่ในระหว่างการตรวจสอบในคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินดังกล่าวข้างต้น ที่ประชุมมีมติ ในระหว่างการดำเนินการแก้ไขปัญหาของคณะอนุกรรมการฯ คณะกรรมการฯ เห็นชอบให้ผ่อนผันให้ราษฎรได้อยู่อาศัย และทำกินในที่ดินดังกล่าวตามวิถีชีวิตปกติไปพลางก่อนเพื่อบรรเทาปัญหาความ เดือดร้อน และแจ้งส่วนราชการต่างๆที่เกี่ยวข้องชะลอการดำเนินการใดๆที่อาจเป็นมูลเหตุ ให้เกิดความขัดแย้ง หรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนในการดำเนินชีวิตตามปกติสุข และเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบต่อไป และให้คณะอนุกรรมการฯที่จะแต่งตั้งขึ้น ไปดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่และเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อคณะ กรรมการฯ ต่อไป
ส่วนกรอบ นโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหา นายกรัฐมนตรีได้มอบแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ ซึ่ง ที่ประชุมได้เห็นชอบแนวทางที่นายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้ยึดหลักการแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชน ตามสภาพพื้นฐานของแต่ละปัญหาและยึดหลักนโยบายของรัฐบาล โดยมุ่งเน้นความสัมฤทธิ์ผลของการดำเนินงานเป็นสำคัญ ดังนั้นกระบวนการแก้ไขปัญหาที่ไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฏระเบียบ แต่สามารถอลุ่มอล่วย ให้ดำเนินการได้ ก็ให้ดำเนินการต่อไป โดยยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ส่วนกรณีที่จำเป็นต้องแก้ไขกฏระเบียบก็ให้คณะอนุกรรมการฯ ที่จะแต่งตั้งไปดำเนินการศึกษาถึงผลดี ผลเสีย และนำเสนอคณะกรรมการฯ ต่อไป
วันที่ 24 มีนาคม 2552 นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งคณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งปประเทศไทย ที่ 1/2552 เรื่องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ทั้งสิ้น 6 ชุด โดยหนึ่งในนั้นมีคณะอนุกรรมการฯ ด้านการแก้ไขปัญหาพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งมีนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน
วันที่ 7 เมษายน 2552 คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ และที่ป่าไม้อื่นๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของเครือ ข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ณ ห้องประชุมกรมควบคุมมลพิษ โดยที่ประชุมได้รับทราบคำสั่งแต่งตั้ง และมติที่ประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดิน แห่งประเทศไทย กรอบแนวทางการแก้ไขปัญหา และมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
วันที่ 3 กรกฏาคม 2552 ประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 2/2552 ณ ห้องประชุมตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล ในกรณีการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ ชุดปัญหาพื้นที่ป่าไม้ ที่ประชุมมีมติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายปราโมทย์ ผลภิญโญ อนุกรรมการฯและผู้ช่วยเลขานุการ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ร่วมกันหารือในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ภายใน 2 สัปดาห์
วันที่ 17 กรกฏาคม 2552 ชาวบ้านผู้เดือดร้อนกรณีสวนป่าคอนสาร เข้าปักหลักรอคำตอบในการแก้ไขปัญหาสวนป่าคอนสารจากรัฐบาล ในบริเวณพื้นที่พิพาท โดยมีข้อเรียกร้องทั้งสิ้น 4 ข้อ คือ ให้ยกเลิกสวนป่าคอนสารโดยเด็ดขาด ให้จัดสรรที่ดินให้ชาวบ้านผู้เดือดร้อนในรูปแบบโฉนดชุมชน ในระหว่างการแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านสามารถทำประโยชน์ในพื้นที่ เพื่อเตรียมการพัฒนาพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชน จำนวนเนื้อที่ 1,500 ไร่ ตามมติประชาคมตำบลทุ่งพระ และพื้นที่ที่มีสภาพป่าสมบูรณ์ให้สิทธิชาวบ้านและท้องถิ่นจัดการทรัพยากรในรูปแบบป่าชุมชน
วันที่ 22 กรกฎาคม 2552 นายกรัฐมนตรี ( นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้แทนเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ร่วมประชุมหารือ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ได้ขัด ข้องในการดำเนินงานตามนโยบายโฉนดชุมชนในเขตพื้นที่ป่าไม้ และกระบวนการดำเนินงาน ให้เป็นไปตามกลไกที่มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ให้ดำเนินการต่อไป ส่วนกรณีปัญหาสวนป่าคอนสาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยืนยันจะไม่มีการใช้ความรุนแรงกับชาวบ้านอย่างเด็ดขาด และจะลงพื้นที่เพื่อดูข้อเท็จจริง ต่อไป
วันที่ 3 สิงหาคม 2552 นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ร่วมประชุมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และชาวบ้านผู้เดือดร้อน ณ ห้องประชุมพญาแล ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดชัยภูมิ เพื่อรับฟังสภาพปัญหา กระบวนการแก้ไขปัญหา และแนวทางการทำงาน จากนั้น ได้ลงพื้นที่พิพาท บริเวณสวนป่าคอนสาร ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ
ใน การประชุมร่วมในพื้นที่ ที่ประชุมหารือได้กำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น ห้ามมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดำเนินการโดยเด็ดขาด และให้มีการนัดประชุมเพื่อทำบันทึกข้อตกลงอีกครั้งในวันที่ 4 สิงหาคม 2552 ณ ห้องประชุมอำเภอคอนสาร
วันที่ 4 สิงหาคม 2552 ผู้แทนชาวบ้าน และหน่วยงานราชการในพื้นที่ ได้แก่ ปลัดอาวุโสอำเภอคอนสาร ( รักษาราชการแทนนายอำเภอคอนสาร ) เจ้าหน้าที่สวนป่าคอนสาร หัวหน้าหน่วยป้องกันและรักษาป่า ( ชย.4) ได้ร่วมประชุมหารือ และจัดทำบันทึกข้อตกลงในการไม่ใช้ความรุนแรง และสร้างสถานการณ์ที่จะก่อให้เกิดความรุนแรง รวมทั้งให้หัวหน้าสวนป่าคอนสาร รายงานไปยังผู้บังคับบัญชา เข้าร่วมประชุมในวันที่ 5 สิงหาคม 2552 ที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ( นายนิพนธ์ บุญภัทโร ) จะลงพื้นที่
วันที่ 5 สิงหาคม 2552 นายนิพนธ์ บุญภัทโร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ปัญหาสวนป่าคอนสาร เพื่อรับฟังปัญหา และกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยมีข้อสรุปคือ ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานช่วยเหลือการปฏิบัติงาน ตามนโยบายกระจายการถือครองที่ดิน โดยมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบขอบเขตที่ดินเพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่นำร่องโฉนด ชุมชน เนื้อที่ 1,500 ไร่ ตามมติประชาคมตำบลทุ่งพระ
วันที่ 27 สิงหาคม 2552 องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ได้ฟ้องขับไล่ ชาวบ้านผู้เดือดร้อน และที่ปรึกษาเครือข่าย รวม 31 คน ออกจากพื้นที่พิพาทต่อศาลจังหวัดภูเขียว พร้อมกันนี้ ได้ขอคุ้มครองชั่วคราว ในการห้ามมิให้ขยายเขตพื้นที่ครอบครองออกจากพื้นที่เดิม ห้ามนำวัสดุสร้างที่อยู่อาศัย ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น และห้ามขัดขวางโจทก์ในการเข้าตรวจสอบ บำรุงดูแลพื้นที่สวนป่าพิพาท ซึ่งศาลอนุญาตตามคำขอ และได้นำหมายห้ามชั่วคราวมาติดในพื้นที่พิพาท วันที่ 28 สิงหาคม 2552
วันที่ 7 ตุลาคม 2552 นางปราณี สริวัฒน์ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 14 ลงพื้นที่ปัญหาสวนป่าคอนสารเพื่อรับฟังสภาพปัญหา และติดตามตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งนี้จะนำเรียนนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
วันที่ 10 ตุลาคม 2552 ตัวแทนชาวบ้านผู้เดือดร้อนกรณีสวนป่าคอนสารยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ที่ศูนย์ภูมิปัญญาชาวบ้าน จังหวดอุบลราชธานี ในคราวมอบเงินให้นางไฮ ขันจันทา
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ประชุม คณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1/2553 ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล ที่ประชุมมีมติ มอบหมายให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เจรจากับเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศ ไทยเรื่องการถอนฟ้องคดีแพ่ง ส่วนการพิสูจน์สิทธิให้นำข้อมูลจากคณะกรรมการการฯหลายคณะเข้ามาประกอบการ พิจารณา
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2553 รองปลัดกระทรวงยุติธรรม(พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง) จัดกิจกรรมโครงการยุติธรรมสัญจร ณ องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งพระ และลงพื้นที่ชุมชนบ่อแก้วเพื่อรับฟังสภาพปัญหา
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 ประชุมหารือเพื่อแก้ไขปัญหากรณีสวนป่าคอนสารระหว่างผู้แทนองค์การอุตสาหกรรม ป่าไม้ สำนักนายยกรัฐมนตรี และเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ที่ห้องประชุมศูนย์บริการประชาชน ผลการหารือได้จัดทำบันทึกข้อตกลงการเจรจาแก้ไขปัญหา ดังนี้
1. ให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้นำข้อเสนอของคณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหา ของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยเรื่องการถอนฟ้องในคดีแพ่ง ไม่ดำเนินคดีกับชาวบ้านเสนอเข้าที่ประชุมบอร์ดขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ โดยเร็วในการประชุมครั้งต่อไป (ภายในเดือนมีนาคม 2553)
2. ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดิน กรณีสวนป่าคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ โดยมีองค์ประกอบ ดังนี้ ผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้แทนองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ผู้แทนกรมป่าไม้ และผู้แทนเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย
3. ราษฎรจะไม่ขยายพื้นที่เพิ่มเติมจากที่อยู่อาศัยในพื้นที่ตามที่อยู่ในขณะนี้
4. ราษฎรจะไม่ทำลายตัดต้นไม้ที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ปลูกสร้างในพื้นที่พิพาท
5. ราษฎรจะร่วมมือกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ และเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยในการสำรวจสภาพพื้นที่
วันที่ 9 มีนาคม 2553 ประชุมหารือแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีสวนป่าคอนสารที่ห้องประชุมศูนย์บริการ ประชาชน ระหว่างเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย กับผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรี ผลการหารือได้ข้อสรุปว่า ผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และจัดรวบรวมเอกสารของคณะทำงาน คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการฯ ต่างๆ เสนอต่อคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย พิจารณา ในวันที่ 8-9 เมษายน 2553
วันที่ 8 เมษายน 2553 นายภูเบศ จันทนิมิ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) พร้อมผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงรับฟังปัญหา และจัดรวบรวมเอกสารของคณะทำงาน คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการฯ ต่างๆ เสนอต่อคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย พิจารณา
วันที่ 28 เมษายน 2553 นัดคำพิพากษาศาลจังหวัดภูเขียวความแพ่ง ฐานขับไล่ นายนิด ต่อทุน กับพวกร่วม 31 ราย ศาลพิพากษาให้ออกจากสวนป่าคอนสารแปลงปลูก2522(2550) ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าภูซำผักหนาม กับให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ และบริวารที่ได้นำไปปลูกไว้ในพื้นที่พิพาท และปรับสภาพพื้นที่สวนป่าให้กลับคืนสู่สภาพเดิม และห้ามเข้าเกี่ยวข้องในพื้นที่สวนป่าคอนสารทั้งหมดอีก และให้ใช้ค่าทนายความแทน 10, 000 บาท
4. ข้อสังเกตต่อการแก้ไขปัญหากรณีสวนป่าคอนสาร
1. กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงระดับพื้นที่ของคณะทำงาน คณะกรรมการ และอนุกรรมการต่างๆ มีแนวทาง มาตรการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน เป็นที่ยุติแล้ว และรายงานผลการดำเนินงานต่อส่วนราชการที่เกี่ยวข้องนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา กล่าวคือ ให้ยกเลิกสวนป่าคอนสาร แล้วนำที่ดินมาจัดสรรให้กับราษฎรผู้เดือดร้อน
2. กระบวนการแก้ไขปัญหาของคณะทำงานระดับพื้นที่ ตามคำสั่งอำเภอคอนสารที่ 61/2548 เรื่องแต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาราษฎรกรณีปลูกป่าทับที่ดินทำกิน เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 30 มิถุนายน 2541 เรื่องการแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าไม้ โดยกำหนดพื้นที่ป่าไม้เป็น 3 ประเภท ทั้งนี้ พื้นที่สวนป่า อยู่ในประเภทพื้นที่อื่นๆที่สงวนหรืออนุรักษ์ไว้เพื่อกิจการป่าไม้ มีมาตรการแก้ไขปัญหาคือ “กรณีที่มีราษฎรร้องเรียนเสนอปัญหา ให้จังหวัดแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยให้มีทั้งฝ่ายราชการและราษฎรฝ่ายละเท่าๆกัน การตรวจสอบข้อเท็จจริงให้พิสูจน์การอยู่อาศัย ครอบครองทำประโยชน์ในพื้นที่ให้ชัดเจนว่ามีมาก่อนหรือไม่ ราษฎรเดือดร้อนอย่างไร เคยได้รับการช่วยเหลือจากราชการมาแล้วหรือไม่ แล้วเสนอมาตรการ หรือแนวทางแก้ไขปัญหาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณามาตรการ และแนวทางของแต่ละพื้นที่ที่เป็นปัญหา ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบให้ความเป็นธรรมกับราษฎรให้มากที่สุด” นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้ตั้งข้อสังเกตให้กรมป่าไม้พิจารณาในข้อ 2.4 ความว่า “กรณี ที่มีราษฎรร้องเรียนเกี่ยวกับการปลูกป่าในพื้นที่ที่องค์การอุตสาหกรรม ป่าไม้ (ออป.) เช่าจากกรมป่าไม้ว่า ปลูกป่าทับที่ของราษฎร กรมป่าไม้ควรประสานกับ ออป. ให้ระงับการปลูกป่าในพื้นที่ที่มีข้อพิพาทไว้ก่อนจนกว่าจะได้ข้อยุติ และหากพิสูจน์ได้ว่า ออป. ปลูกป่าทับที่ราษฎรจริง ควรมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าไม้ที่ได้ปลูกไปแล้วจะดำเนินการอย่างไร”
นัย ของการดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีสวนป่าคอนสาร จ.ชัยภูมิ เทียบเคียงกับรายละเอียดของคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 มิถุนายน 2541 ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำมาปฏิบัติใช้แก้ไขปัญหาพื้นที่ป่าไม้ คือ
2.1) อำเภอคอนสารได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานตามรายละเอียดข้างต้น โดยอาศัยอำนาจตามคำสั่งจังหวัดชัยภูมิที่ 2302/2547 เรื่องแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาปัญหากรณีราษฎรอำเภอคอนสารชุมนุมเรียกร้อง และมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2524 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2545 ที่กำหนดอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอต้องดำเนินการตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา เช่น นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี เป็นต้น
2.2) การตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะทำงานข้างต้น เป็นไปตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 มิถุนายน 2541 ที่ ให้พิสูจน์การอยู่อาศัย ครอบครองทำประโยชน์ในพื้นที่ให้ชัดเจนว่ามีมาก่อนหรือไม่ ราษฎรเดือดร้อนอย่างไร เคยได้รับการช่วยเหลือจากราชการมาแล้วหรือไม่ แล้วเสนอมาตรการ หรือแนวทางแก้ไขปัญหาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณามาตรการ และแนวทางของแต่ละพื้นที่ที่เป็นปัญหา ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบให้ความเป็นธรรมกับราษฎรให้มากที่สุด ซึ่ง คณะทำงานได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้ว พบว่า ราษฎรได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2496 เป็นต้นมา โดยมีหลักฐานการครอบครองทำประโยชน์ เช่น ใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ เอกสารการครอบครองที่ดิน ( สค.1 ) ใบแจ้งการครอบครองที่ดินก่อนการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ ร่องรอยการทำประโยชน์ เป็นต้น กระทั่งคณะทำงานได้ประชุม และมีมติในวันที่ 7 กรกฎาคม 2548 ว่าสวนป่าคอนสารปลูกสร้างทับที่ทำกินของราษฎรจริง และให้ยกเลิกเพิกถอนสวนป่า แล้วนำที่ดินมาจัดสรรให้กับราษฎรผู้เดือดร้อน ต่อไป
2.3) จากข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ในข้อ 2.4 นั้น ปรากฏว่า กรมป่าไม้ไม่ได้ประสานงาน ออป. ในการระงับการปลูกป่าในพื้นที่ที่มีข้อพิพาทไว้ก่อนจนกว่าจะได้ข้อยุติ นอกจากนี้ ออป. ยังคงปลูกไม้จำพวก ยูคาลิปตัส ยางพารา ไม้สัก มาโดยตลอด นับตั้งแต่ชาวบ้านได้ร้องเรียนในปี 2547 เป็นต้นมา ซึ่งมีเจตนาเพื่อขยายพื้นที่สวนป่าให้เต็มพื้นที่พิพาท
3. ผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่ง ประเทศไทย ครั้งที่ 1/2552 เรื่องผ่อนผันให้ราษฎรได้อาศัยทำกินในพื้นที่ตามวิถีชีวิตปกติไปพลางก่อน จนกว่ากระบวนการแก้ไขปัญหาจะได้ข้อยุติ และครั้งที่ 1/2553 ที่รองผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ผู้แทนองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ มีความเห็นว่า การแก้ไขปัญหาให้ได้ข้อยุตินั้น เป็นเรื่องที่ฝ่ายนโยบายต้องพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดัง นั้น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาได้ข้อยุติ ควรนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกสวนป่าคอนสาร จากนั้นให้ส่งมอบพื้นที่ให้สำนักงานการปฏิรูปทีดินเพื่อเกษตรกรรม ( สปก.) ดำเนินการปฏิรูปที่ดินแก่ราษฎรผู้เดือดร้อน ต่อไป
5. ข้อเสนอเพื่อพิจารณา
1. ให้ คณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย พิจารณายกเลิกสวนป่าคอนสารโดยเด็ดขาด จากนั้นให้นำพื้นที่มาปฏิรูปที่ดินให้กับราษฎร ตาม พรบ.ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 โดยการดำเนินการดังกล่าว ให้บริหารจัดการโดยกลุ่มเกษตรกรปฏิรูปที่ดิน ในลักษณะแปลงรวม
2. ในระหว่างการแก้ไขปัญหาจนกว่าจะได้ข้อยุติ ให้สิทธิชาวบ้านผู้เดือดร้อน สามารถทำประโยชน์ ในพื้นที่ จำนวน 1, 500 ไร่
3. ภายหลังการพิจารณาของคณะกรรมการอำนวยการฯ แล้ว ให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ต่อไป
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.