ความหวังของมวลชนเมื่อ คสช. ทำรัฐประหาร มิใช่หวังแค่ คสช. เป็นกรรมการแยกมวย ห้ามคนตีกัน แล้วปล่อยไป "ให้น้ำ" ที่มุมน้ำเงินกับมุมแดง แล้วพอกรรมการมวยลงจากเวที "นักมวย" ที่ยังเมาหมัดจะลุกขึ้นตีกันในยกต่อไป
ไม่ใช่อย่างนั้น....แน่นอนเรื่องสำคัญหลาย ๆ เรื่อง คสช. โยนไปให้ สปช. คิดแต่หลาย ๆ เรื่อง คสช. ก็รีบทำโดยผ่านบทบาทของรัฐบาล เช่น เรื่องคุมราคาสลากกินแบ่ง เรื่องตัดฟันปิดสวนยางทั้งของนายทุนและของชาวบ้าน ฯลฯ
ดังนั้น การโยนเรื่องที่ควรทำไปให้ สปช. จึงไม่อาจนำมาเป็นข้ออ้างได้มีเรื่องใหญ่เกี่ยวพันกับชีวิตของเกษตรกรทั้งประเทศโดยตรง เช่น เรื่องราคาพืชผลตกต่ำ , เรื่องพิษภัยจากสารเคมี
เรืองราคาพืชผลนั้น ใหญ่โตระดับโลก ทีหนทางรอดทางเดียว นั่นคือเกษตรกรรายย่อยต้องเลิกเพาะปลูกพืชเชิงเดี่ยว เปลี่ยนมาทำไร่นาสวนผสมตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรกรรายย่อยจึงจะอยู่รอด ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลบังคับไม่ได้ แต่แนะนำให้ข้อมูลเกษตรกรได้ ควบคุมการโฆษณาปุ๋ยเคมี สารเคมีที่มีพิษ ฯลฯ ได้
ส่วนเรื่องภัยจากสารเคมีที่กันอย่างมหาศาลในภาคการเกษตรนั้น รัฐบาลสามารถดำเนินมาตรการแก้ไขได้ทันที ไม่ต้องไปรอ สปช.
ท่านนายกรัฐมนตรีอาจจะไม่ทราบว่า เกษตรกรรายย่อยไทยนั้นอุตสาหะขยันขันแข็งเพียงใด พวกเขาทำงานหนัก บางปีราคาพืชผลดีก็มีรายได้พอใจ บางปีราคาพืชผลตกต่ำก็ต้องขาดทุนเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว และสิ่งที่เป็นภัยอันตรายต่อสุขภาพของพวกเขาอย่างร้ายแรงก็คือ ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าปู สารเคมีเร่งผลผลิต ฯลฯ
ชีวิตชาวนาลุกขึ้นมาแต่เช้ามืด เพื่อฉีดยาฆ่าแมลงในไร่นา โดยไม่มีสำนึกรู้ว่ากำลังนำความตายมาสู่ตัวเอง และไม่คิดหาทางออกจากการทำเกษตรยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี ที่ทำให้ตัวเองและดินเป็นพิษซึ่งมันร้ายแรงขึ้นทุกขณะ จะช่วยทำให้พวกเขาหลุดจากวิถีชีวิตนรกนี้ได้อย่างไร
สมัยรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ได้ลดภาษียาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมีเป็นศูนย์ แล้วต่อ ๆ มารัฐบาลก็ปล่อยให้มีการโฆษณาอย่างเต็มที่ จนหัวชาวนาถูกฝังสลัก(chip)เรื่องนี้ มีภาคประชาชนหลายกลุ่มพยายามทำงานกับเกษตรกรรายย่อยเพื่อให้พวกเขาเข้าใจพิษภัยของสารเคมี ถึงขนาดลงทุนทำแปลงสาธิตให้เห็นหลายแห่ง เป็นตัวอย่างแสดงการทำนาโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และยาสมุนไพร แต่ก็ไม่สำเร็จ ไม่สามารถถอดสลักที่ฝังหัวชาวนาออกไปได้ ชาวนายังทำแบบเดิม
นักวิชาการกระทรวงเกษตรและข้าราชการเองนั่นแหละคือตัวโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้กับบริษัทขายสารเคมีทั้งหลาย เจ้าหน้าที่พวกนี้ส่วนใหญ่สนับสนุนให้ชาวนาใช้ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี โดยการอุดหนุนจากบริษัทต่างๆ
การปฏิรูปที่นายกฯ อยากเห็น อาจจะนึกไปไม่ถึงเรื่องเหล่านี้ แต่ถ้าไม่เข้าใจเรื่องปฏิรูปการเกษตรใหม่ วิถีชีวิตชาวนาไทยก็มีแต่ตายกับตาย แผ่นดินไทยและร่างกายคนไทยก็จะเต็มไปด้วยสารพิษ
สิ่งที่รัฐบาลควรทำโดยด่วนคือ ขึ้นภาษียาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมีแบบภาษีบุหรี่สุรา แล้วตั้งองค์กรแบบ สสส.มาทำงานเรื่องนี้ หาทางทอดสลักชาวนาที่ถูกฝังไว้ในหัว แล้วสร้างโรงปุ๋ยอินทรีย์ทุกจังหวัด ส่งเสริมให้ใช้ยาไล่แมลงแบบสมุนไพร สร้างโรงสีทุกอำเภอ ห้ามโฆษณาปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง เหมือนห้ามโฆษณาบุหรี่และสุรา ทำเป็นเรื่องใหญ่ระดับประเทศ เพื่อเปลี่ยนวิถีการผลิตของชาวนาไทยให้ได้
ที่มา : สยามรัฐ วันที่ 9 มิ.ย. 2558