34 คำถาม เพื่อกระชากกระตุ้นเตือนไม่ให้สังคมไทยทำอะไรตามๆกันอย่างไม่รู้ เกี่ยวกับป่า 40% ของพื้นที่ประเทศ ผมจะทยอยตอบคำถามนั้น และปรารถนาให้สังคมค้นหาคำตอบในเนื้อคำถามนั้นไปพลางๆ
แนวคำตอบเมื่อกว่า 50ปีที่แล้วมร.จี เอ็น ดานฮอฟ ชาวเนเธอร์แลนด์ ผู้เชี่ยวชาญป่าไม้ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) แนะนำทางวิชาการให้ประเทศไทยมีป่า 40% ของพื้นที่ประเทศ ขณะนั้นประเทศไทยมีพื้นที่ป่า หมายถึงป่าจริงๆกว่า70% แปลได้หลายทางว่า
1)ยุคนั้นเรามีพื้นที่ป่าไม้เกิน จึงไม่ต้องวิตกกังวล หรือ ต้องวางแผนอะไรมากมาย
2) เป็นความต้องการของตะวันตก และความต้องการขององค์กรอาหารโลก (FAO) ให้ประเทศเราลดพื้นที่ป่าไม้มาเพิ่มพื้นที่เกษตรเพื่อผลิตอาหารเลี้ยงพลโลกเพียงพอในยุคเบบี้บูม (Baby boom)
ช่างเถอะอย่างไรก็ตาม ความจริงจากนั้น เรารับอิทธิพลแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจจากธนาคารโลก และทำการเพิ่มพื้นที่เกษตรเพื่อผลิตอาหาร และอื่นๆด้ายกรอบกร่างของเกษตรเคมีเชิงเดี่ยว ตั้งแต่การเปิดวิทยาลัยเกษตรทั่วประเทศ การส่งเสริมพืชเกษตรเชิงเดี่ยว ทั้งอ้อย มัน ข้าว ยางพารา ฯลฯ คำตอบ 40% จึงอาจเป็นคำลวงให้ประเทศเราทำลายป่า เพื่อเพิ่มพืชอาหารเลี้ยงพลโลกก็ได้
ปัญหาตามมาคือ พื้นที่ป่าลดลงอย่างรวดเร็ว การเกษตรเคมีเชิงเดี่ยวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผลผลิตทางการเกษตรสร้างเม็ดเงินมหาศาลและส่งออกอันดับต้นๆ การขายทรัพยากร ทั้งไม้สัก แร่ดีบุก ข้าว และผลผลิตทางการเกษตร จึงเป็นรายได้ลำดับต้นๆของประเทศ จากนั้นก็มียางพารา น้ำตาล แทรกเข้ามาแทน สรุปง่ายๆ คือการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เกษตรเคมีเชิงเดี่ยว และการเพิ่มพื้นที่เกษตรด้วยการทำลายป่าสร้างรายได้ให้ประเทศแบบหนึ่งโดยไม่ได้คิดถึงผลเสีย
แนวคิดการจัดการป่าไม้จึงฉกชิงต่อสู้ระหว่างการสงวนคุ้มครองอนุรักษ์ป่า เช่นป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า กับการสร้างเศรษฐกิจด้วยทรัพยากรจากป่าโดยตรง ทั้งการทำไม้ส่งออก และการใช้พื้นที่ป่าเสื่อมโทรมเพื่อเพิ่มผลผลิตของการเกษตรโดยการให้เช่าใช้ประโยชน์ที่ดินป่าสงวนแห่งชาติของนายทุนรายใหญ่
ด้วยคราบความคิดลัทธิจักรวรรดินิยม มาครอบรัฐไทยด้วยมุมมองของรัฐว่าพลเมืองในชาติเป็นคน "ดื้อ ชั่ว โง่ และอ่อนแอ" จึงออกกฎหมาย "ควบคุม บังคับ อนุญาต และทำให้"โดยผ่านอำนาจรัฐ ทำให้เกิดการจัดการป่าโดยอำนาจรัฐอย่างเบ็ดเสร็จด้วย "การตั้งกองกำลังติดอาวุธพร้อมด้วยกฎหมาย ทำหน้าที่ดูแลป่าไม่ให้ถูกทำลาย"ถ้าเอกชนคนไหนต้องการใช้ประโยชน์ ต้องขออนุญาตและรัฐจะเปิดโอกาสให้ แต่สำหรับประชาชนธรรมดาสามัญรัฐไม่เชื่อว่ามีความสามารถพอจึงต้องเป็นผู้ทำให้เป็นผู้นำทำเอง ตั้งแต่การปลูกสร้างสวนป่า แม้นแต่การทำเหมืองฝายระบบน้ำรูปแบบการเพาะปลูก ฯลฯ
ความล้มเหลวจากแนวทาง "การตั้งกองกำลังติดอาวุธดูแลป่าไม่ให้คนทำลาย"คือป่าลดลงจาก 71% ,มาเหลือ 21% การปลูกป่าตลอดเวลาเกือบ 100 ปี ได้แค่ไม่ถึง 2% ทั้งๆที่ใช้กองกำลัง และทุนมหาศาล ซ้ำร้ายการจัดการให้เกษตรกรปลูกป่าไร่ละ 3,000 เกือบราว 2 ล้านไร่ แต่เกษตรกรต้องตัดโค่นเปลี่ยนแปลงเป็นพืชเกษตรอื่นเหลือเพียงราว 3 แสนไร่ เสมือนการเดินย่ำเท้าก้าวเก่ามา 120 ปี (กรมป่าไม้ ตั้งปี 2439) พลาดมาทุกก้าว และยังจะก้าวเดินก้าวที่ 121 อีกด้วยเส้นทางเดิม เดินรอยเท้าเดิม วิธีการเดิมๆอีกครั้ง ซึ่งไอน์สไตน์กล่าวไว้ อย่างน่าคิดว่า "มีแต่คนบ้า และโง่มากเท่านั้นที่ทำอะไรซ้ำๆด้วยวิธีการ ซ้ำๆ และเดิมๆ แต่ต้องการผลลัพธ์ที่แตกต่าง" ผมจึงเป็นคนแรกๆของข้าราชการป่าไม้ที่ประกาศไม่เชื่อ และไม่ยอมทำตามแบบเดิมๆ พร้อมเสนอวิธีการใหม่ ที่กลับด้านตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงแบบวิภาษวิธีโดยเปลี่ยนจาก "การตั้งกองกำลังติดอาวุธ ดูแลป่าไม่ให้คนทำลาย"มาเป็น "สร้างนักพัฒนาดูแลคนไม่ให้ทำลายป่า"ด้วยแนวทางโครงการ "คนอยู่ป่ายัง" ที่ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร จนบทพิสูจน์สรุปผลชัดอย่างหนึ่งด้วยตัวเลขทำลายป่าลดลงเป็นศูนย์ด้วยเวลาอันสั้น และงบประมาณเพียงน้อยนิด แต่ยั่งยืนด้วยลักษณะวิธีการดูแลป่า
ส่วนการปลูกป่า ภาครัฐที่ลงทุนมหาศาลในการยึดที่ทำกินประชาชนมาปลูก การรณรงค์การปลูกเพื่อถวายเบื้องสูง การส่งเสริมจากภาคเอกชน ภายใต้การออกแบบกำกับการลงทุน โดยอำนาจรัฐลักษณะ"ควบคุม บังคับ อนุญาตและทำให้"ก็ล้มเหลวเพราะเกือบ 100 ปี ได้ไม่ถึง 2% ขณะที่เป้าหมาย ป่าหายไปราว50% และหากเทียบกับการปลูกยางพารา เกษตรกรดำเนินการโดยประชาชนในเวลา100 ปี เท่ากันกลับมีพื้นที่ถึง 30 ล้านไร่ ราว 10%ของพื้นที่ประเทศโดยรัฐ และไม่ได้ลงทุนเลย
ผมจึงวิภาษวิธีการปลูกป่าจากแนวคิด"ควบคุม บังคับ อนุญาต และทำให้"มาเป็น"ส่งเสริม และสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนปลูกและจัดการด้วยตนเอง" ภายใต้แนวคิด "ธนาคารต้นไม้" ซึ่งผมได้กำเนิดคำ "ธนาคารต้นไม้" เมื่อปี2548และเริ่มลงมือทำเมื่อปี 2549 แม้เวลาเพียง 10ปี แต่ชาวธนาคารต้นไม้ได้ปลูกต้นไม้ในแผ่นดินไทย และรอดมากกว่า 100 ปีของกรมป่าไม้ ด้วยตัวเลขสมาชิก 3แสนราย 3พันสาขา จะมีต้นไม้ 60 ล้านต้น ซึ่งเป็นการปลูกผสมผสาน กับพืชเกษตร ลักษณะวนเกษตร เฉลี่ยต้นไม้ 40 ต้น/ไร่ ก็จะได้พื้นที่ราว 1.5 ล้านไร่ ซึ่งเป็นต้นไม้ในที่ดินของประชาชน และประชาชนปลูกดูแลรักษาเอง โดยรัฐไม่ต้องลงทุน
ธนาคารต้นไม้ใช้ฐานคิดอะไร จึงสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนปลูกต้นไม้ได้มากมาย เราสร้างความเชื่อว่าตัวแปรความสุขทุกข์ของพลเมืองอยู่ที่ปริมาณต้นไม้ ในอดีตประเทศนี้มีต้นไม้มาก พื้นที่ป่ามาก ประเทศอุดมสมบูรณ์ ประชาชนเป็นสุข ปัจจุบันประเทศมีต้นไม้น้อยลง ป่าน้อยลง ประเทศขาดแคลน ประชาชนเป็นทุกข์ และเราค้นพบจุดอ่อนการปลูกป่า ภาครัฐที่มี 2 ประการคือ 1.ประชาชนไม่รู้สึกความเป็นเจ้าของและ 2.ประชาชนไม่มีแรงจูงใจ
จึงวิภาษวิธีมาเป็นการส่งเสริม และสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนทำเองด้วยการ 1.การไม่รู้สึกเป็นเจ้าของ พลิกเป็นให้ปลูกในที่ดินของตนเองและจัดการโดยประชาชนจะเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของและ 2.การไม่มีแรงจูงใจ พลิกเป็นให้รับรองต้นไม้ที่มีชีวิตให้มีมูลค่าเป็นทรัพย์เพื่อสร้างแรงจูงใจ
ปี 2549 จึงเริ่มต้นทำ"ธนาคารต้นไม้"ทั้งองค์กร และดำเนินการระดับพื้นที่และระดับเครือข่ายจากจังหวัดชุมพรแล้วขยายผลไปทั่วประเทศโดยมีเป้าหมาย
ช่วงเริ่มต้น: การกระจายแนว และการชวนคนปลูกต้นไม้ โดยการปลูกต้นไม้ในใจคน
ช่วงที่สอง: การจัดทำข้อมูล ชุดความรู้ และการหาแนวร่วมสร้างตัวอย่างความสำเร็จ
ช่วงที่สาม:การรวมพลัง ผลักดันเชิงนโยบาย สาระสำคัญคือเสนอหลักการ 4 ข้อ เพื่อการปฏิรูป 9 ด้านและกระบวนการผลักดันสู่การเป็นกฎระเบียบ /นโยบาย
พงศา ชูแนม นักวิชาการอิสระ สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา
พิมพ์ในนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2559
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.