ทิศทางการพัฒนาประเทศที่ปรับเปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรมชนบท สู่อุตสาหกรรมและการขยายตัวของภาคเมืองทำให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนจากความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติสู่มลพิษสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะนับจากที่ประเทศไทยก้าวสู่ยุคของการพัฒนาอุตสาหกรรม ทำให้ปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในสิ่งแวดล้อมเด่นชัดขึ้น ซับซ้อนขึ้น รุนแรงมากขึ้น ดังที่เกิดขึ้นในพื้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง และกรณีการทำเหมืองแร่ในปัจจุบัน
ปีพ.ศ. 2518 ประเทศไทยได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเป็นฉบับแรก เพื่อเป็นเครื่องมือในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ได้กำหนดให้มีการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ (Environmental Impact Assessment: EIA) ขึ้นเพื่อคาดการณ์ผลกระทบและจัดทำมาตรการลดผลกระทบเชิงลบที่อาจจะเกิดขึ้นจากโครงการพัฒนาต่างๆรวมทั้งใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของหน่วยงานที่ให้อนุญาต
ระบบอีไอเอเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535ซึ่งแบ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ เป็น 3 หน่วยงาน คือ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สส.) และให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตั้งคณะผู้ชำนาญการพิจารณารายงานอีไอเอ (คชก.) เพื่อเป็นการถ่วงดุลระหว่างหน่วยงานอนุญาตโครงการกับหน่วยงานทางด้านสิ่งแวดล้อม ให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชนส่งผลให้สผ. ได้เริ่มศึกษาเกี่ยวกับการประเมินผลกระทบทางสังคม (Social Impact Assessment: SIA) ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นแนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในการทำอีไอเอ
อย่างไรก็ตามแม้ว่าการทำอีไอเอจะให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม แต่ก็ยังถูกวิจารณ์ในหลายประเด็น อาทิ เรื่องความไม่เป็นอิสระทางวิชาการ มีความผิดพลาดของข้อมูล ขาดการมีส่วนร่วมจากประชาชน เป็นต้น ต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540จึงได้กำหนดให้มีการจัดตั้งองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อม แต่ไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ จนกระทั่งในปี 2546 เกิดการเคลื่อนไหวผลักดันให้ปฏิรูประบบอีไอเออย่างขนานใหญ่ แต่ก็ไม่เกิดผลสำเร็จ
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นขบวนขับเคลื่อนการปฏิรูประบบสุขภาพก็ได้เสนอให้มีการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ หรือ เอชไอเอ (Health Impact Assessment: HIA)เพื่อเป็นเครื่องมือสร้างการเรียนรู้ร่วมกันของคนในสังคมในการแสวงหาข้อมูลหลักฐานประกอบการตัดสินใจเลือกนโยบายสาธารณะที่เป็นผลดีต่อสุขภาวะของประชาชนมากที่สุด และผลักดันให้อยู่ในพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ซึ่งมีการรับรองสิทธิของประชาชนในการร้องขอและมีส่วนร่วมในกระบวนการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพด้วย
ปีเดียวกันนั้นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550ในหมวดสิทธิชุมชน ก็ได้บัญญัติ เรื่อง การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรือ อีเอชไอเอ (Environmental Health Impact Assessment: EHIA) ที่ต้องทำก่อนการอนุมัติโครงการที่อาจกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงและให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนรวมถึงให้มีการจัดตั้งองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพด้วย
การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพโดยชุมชน(Community Health Impact Assessment: CHIA)เป็นรูปแบบหนึ่งของการทำ HIA ในฐานะกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของชุมชนท้องถิ่นในการแสวงหาข้อมูลหลักฐานประกอบการตัดสินใจเลือกนโยบาย โครงการ และกิจกรรมการพัฒนาต่างๆ ที่เป็นผลดีต่อสุขภาวะของชุมชน โดยมีเป้าหมายสู่การสร้างความเป็นธรรมทางสังคมและความเป็นธรรมด้านสุขภาพ
นอกจากนี้ ยังนับว่าเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการพัฒนาชุมชนโดยมุ่งที่การกำหนดอนาคตของชุมชนเอง มีลักษณะเด่น คือ แต่ละชุมชนจะพัฒนาเครื่องมือที่เหมาะสมในการประเมินผลกระทบ ออกแบบกระบวนการและทำการประเมินผลกระทบด้วยตัวเองซึ่งจะมีความแตกต่างกันตามบริบท วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของแต่ละชุมชน ท้องถิ่น
กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของชุมชนจะทำให้เกิดการปรับวิธีคิด กระบวนทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพแบบองค์รวม ประชาชนมีทักษะในการดูแลสุขภาพ และพึ่งตนเองได้มากขึ้น ในที่สุดจะส่งผลให้ลดอัตราการเจ็บป่วย ลดจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาล ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่ไม่จำเป็น และมีผลทางอ้อมให้บริการทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขเป็นไปได้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
กระบวนการทำงานแบ่งออกเป็น 6 ขั้นตอน ได้แก่ การค้นหาคุณค่าหลักของชุมชน (Knowing Community Core Value) การศึกษาข้อมูลโครงการ/นโยบายที่จะดำเนินการในชุมชน(Knowing Policy/Project) การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิชุมชน กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติ อนุญาตโครงการ (Knowing Community Right) การประเมินผลกระทบและการตรวจสอบความถูกต้องของการประเมินผลกระทบ (Appraisal) การผลักดันเข้าสู่การตัดสินใจ (Influence Policy Decision Making)และการติดตามประเมินผล (Monitoring)
กว่าสี่สิบปีของการพัฒนาระบบประเมินผลกระทบในประเทศไทย เริ่มต้นจากอีไอเอในฐานะเครื่องมือลดผลกระทบจากโครงการพัฒนา จนพัฒนาเป็นอีเอชไอเอในฐานะเครื่องมือคุ้มครองสิทธิของชุมชน ในขณะเดียวกันแนวคิดเรื่องการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพโดยชุมชนหรือ CHIA ก็ได้รับการยอมรับและขยายพื้นที่ปฏิบัติการไปอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศไทยและประเทศเมียนมาร์ รวมถึงเป็นที่สนใจขององค์การอนามัยโลกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย นั่นหมายความว่า การประเมินผลกระทบมิได้ถูกจำกัดการทำงานไว้แต่เพียงในมือของผู้เชี่ยวชาญอีกต่อไป หากได้กลายเป็นเครื่องมือของสังคมไปแล้ว โดยเฉพาะในความหมายที่ว่าชุมชนก็สามารถทำการประเมินผลกระทบได้ด้วยตนเองและสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการเจรจาต่อรองในกระบวนการตัดสินใจ
ในยุคเสรีนิยมใหม่ที่รัฐได้ปรับเงื่อนไขทางกฎหมายเพื่อให้เอื้อต่อการค้าและการลงทุน การประเมินผลกระทบไม่ว่าจะเป็น EIA EHIA ถูกทำให้แผ่วเบาลงหรือถูกยกเว้นในโครงการบางประเภท รวมทั้งมิติสิทธิชุมชนที่หายไปจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ มองอีกมุมหนึ่งสถานการณ์แบบนี้อาจเป็นแรงผลักให้ CHIA เติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็วก็เป็นได้
พิมพ์ในนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ วันที่ 23 กันยายน 2559
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.