เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาผู้เขียนได้เขียนถึงผลกระทบจากคำสั่ง คสช.ที่ 36/2559ที่มีต่อสมาชิกชุมชนคลองไทรพัฒนา หมู่ 2ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานีในกรณีการเรียกคืนพื้นที่ส.ป.ก.จากผู้ครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และครั้งนี้ในบทความครั้งนี้ต้องการให้ข้อมูลด้านการบริหารจัดการที่ดินในชุมชน และนำไปสู่การพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจของชุมชนเพื่อความยั่งยืนในอนาคต
ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2559 นายอำนวย ปติเส ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยพนักงานเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.สุราษฎร์ธานี และผู้กำกับ สภอ.ชัยบุรี ได้ลงพื้นที่ศึกษาข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินในชุมชนคลองไทรฯ และร่วมหารือถึงทางออกในการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เบื้องต้นได้มีข้อสรุปร่วมกันว่า จะไม่มีการขับไล่ชาวบ้านออกจากชุมชน และได้ร่วมกันแต่งตั้งคณะทำงานศึกษาข้อมูลจาก 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ตัวแทนสมาชิกชุมชนคลองไทรฯจำนวน 3 ท่าน นักวิชาการ 3 ท่าน และตัวแทนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์4 ท่าน โดยมีนายอำนวย ปติเส เป็นประธานคณะทำงานสุรพล สงฆ์รักษ์ ที่ปรึกษาสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้ว่า “ขณะนี้ทางชุมชนกำลังรอหนังสือจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อยืนยันอย่างเป็นทางการว่า ส.ป.ก.จะไม่ขับไล่ชุมชนออกจากที่ดินทำกิน และหนังสือแต่งตั้งคณะทำงานศึกษาสภาพความเป็นอยู่การใช้ประโยชน์ที่ดินของสมาชิก ซึ่งได้มีการเสนอชื่อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาศึกษาประมาณ 1 ปี เพื่อให้เห็นวิถีชีวิตการผลิตและรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินของชาวบ้านในชุมชน”
จากบทเรียนการต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินของสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้และสมาชิกชุมชนคลองไทรฯตลอดระยะเวลาร่วม 10ปีมีข้อสรุปว่า “การได้ที่ดินมาก็ไม่สามารถเป็นหลักประกันได้ว่าจะมั่นคง แต่ชีวิตจะมั่นคงถ้าที่ดินไม่หลุดมือ ” โดยได้ยึดหลัก สิทธิชุมชนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งให้ความสำคัญกับ“บุคคลที่รวมตัวกันเป็นชุมชนย่อมมีสิทธิอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น การบริหารท้องถิ่นและของชาติ และมีส่วนร่วมจัดการ บำรุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมรวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืน”ซึ่งมีความสอดคล้องกับนโยบายโฉนดชุมชน ปัจจุบันชุมชนคลองไทรฯได้เป็น 1 ใน 58 ชุมชน ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน(ปจช.) ประกอบกับในปี 2556 ชุมชนคลองไทรฯได้เป็นสมาชิก สหกรณ์การเกษตรสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ จำกัด โดยเป้าหมายและแนวทางดำเนินงานทั้งโฉนดชุมชนและสหกรณ์ฯมีความสอดคล้องกันคือให้หน่วยงานเจ้าของที่ดินส่งมอบพื้นที่ให้ชุมชนมาบริหารจัดการแต่ในขณะนี้ยังประสบปัญหาที่หน่วยงาน ส.ป.ก.ยังไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้ได้ โดยให้เหตุผลว่าเกษตรกรทุกคนมีสิทธิในที่ดินแปลงนี้ สุรพล สงฆ์รักษ์ได้กล่าวในประเด็นนี้ว่า“เราทราบดีว่าเกษตรกรคนทุกคนมีสิทธิในที่ดินแปลงนี้ แต่ชาวชุมชนคลองไทรฯรอไม่ได้แล้วเพราะไม่มีที่อยู่ที่กินและหน่วยงานควรจัดสรรที่ดินตามลำดับความเดือดร้อนของชาวบ้าน”
แม้ว่าชุมชนคลองไทรฯ ก่อตั้งเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2551 แต่สมาชิกส่วนใหญ่ได้ริเริ่มใช้ประโยชน์ที่อย่างจริงจังหลังจากภัยคุกคามเริ่มเบาบางลงในช่วงปี 2555 ปัจจุบันมีสมาชิก 70 ครอบครัวจำนวน 200กว่าคน อาศัยทำกินในพื้นที่ ส.ป.ก. จำนวน 650ไร่ จากที่ดินทั้งหมด 1,007 ไร่เศษ (ซึ่งเคยเป็นแปลงที่ดินที่บริษัทจิวกังจุ้ย ครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี)ทั้งนี้ชุมชนได้แบ่งฝ่ายงานเพื่อสร้างระเบียบการอยู่ร่วมกันให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของชุมชนออกเป็นฝ่ายๆดังนี้ ฝ่ายการเกษตร รักษาความปลอดภัย เศรษฐกิจ ข้อมูลและ สาธารณสุข โดยปัจจุบันสมาชิกในชุมชนได้รับการจัดสรรที่ดินสำหรับอยู่อาศัยครอบครัวละ 1 ไร่ และมีที่ดินทำกินครอบครัวละ 10 ไร่
สมาชิกชุมชนคลองไทรฯ มีวิธีการบริหารประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินในชุมชน และได้ลงมือทำอย่างจริงจังเมื่อปี 2555 มีการจัดสรรที่ดินตามลักษณะการใช้ประโยชน์ออกเป็น 6 ประเภทเช่น พื้นที่ปลูกพืชอาหาร พื้นที่ปศุสัตว์ และพื้นที่สาธารณะต่างๆ แต่ละประเภทมีขนาดพื้นที่ประมาณ 10-15ไร่
นายประทีป ระฆังทอง อายุ61ปี ตัวแทนชุมชนฯ ได้ขยายความให้ฟังว่า“ตนได้เข้ามาในชุมชนเมื่อปี 2555ปัจจุบันยังไม่มีที่ดินทำกินในชุมชนเพราะต้องการจัดสรรให้สมาชิกคนอื่นๆที่เดือดร้อนกว่าก่อน มีหน้าที่ดูแลฝ่ายปศุสัตว์ เลี้ยงวัวและปลูกหญ้าในแปลงรวม ซึ่งที่มาของการเลี้ยงวัวในช่วงแรกเกิดจากพื้นที่บางส่วนในชุมชนมีสภาพเสื่อมโทรม ไม่สามารถปลูกผักปลูกหญ้าได้ จึงเริ่มเลี้ยงแค่ 4-5ตัวก่อนเพื่อเอามูลวัวมาทำปุ๋ย ตอนนี้ได้วัวเพิ่มขึ้น 14 ตัวและตั้งใจว่าจะขยายพันธุ์เพิ่มอีกบางส่วนก็ขายเพื่อนำเงินเข้ากลุ่ม”
และในระหว่างที่ชุมชนยังผลิตข้าวได้ไม่เต็มที่ สหกรณ์ฯได้มีกิจกรรม “ขายข้าวสารราคาถูก”ได้ดำเนินงานมา2ปีแล้ว เพราะต้องการช่วยเหลือสมาชิกที่ไม่มีเงินให้สามารถมาเอาข้าวสารที่สหกรณ์ไปก่อนและมาชำระเงินภายหลังได้ นายเพียรรัตน์ บุญฤทธิ์ ประธานกรรมการสหกรณ์การเกษตรสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้จำกัดเล่าว่า“ขณะนี้สหกรณ์ฯได้ขายข้าวสารให้สมาชิกเดือนละ 3-4 ตัน ในปีที่ผ่านมาเราขายข้าวสารไปทั้งหมด80 ตัน ซึ่งข้าวสารมีหลายราคาขึ้นอยู่กับคุณภาพ โดยเฉลี่ยเราขายให้สมาชิกกิโลละ20-25 บาท ขณะนี้มีสมาชิกหมุนเวียนมาซื้อข้าวสารเดือนละประมาณ 200 คน”
การต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินทำกินของคนจนไร้ที่ดินชุมชนคลองไทรฯทำให้เห็นถึงความพยายามของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางออกที่เป็นธรรมมากที่สุด ที่สำคัญคือทำให้เราเห็นถึงความมุ่งมั่นในเจตนารมณ์ของเกษตรกรในการรักษาที่ดินด้วยแนวทางสิทธิชุมชน เพราะสำหรับพวกเขาที่ดิน มีคุณค่าเมื่อใช้ประโยชน์ทำการผลิต
พิมพ์ในนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ วันที่ 26 สิงหาคม 2559
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act)
129/250 หมู่บ้านเพอร์เฟคเพลส รัตนาธิเบศร์ ถนนไทรม้า ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์: 02-048-5465 E-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.