เครือข่ายสลัม 4 ภาค กับคดีคนจน

Created
วันเสาร์, 02 มิถุนายน 2555
Created by
เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย
Categories
คดีความที่ดิน
 

 1.ภาพรวมปัญหาสลัม

สลัมหรือชุมชนแออัดเป็นผลพวงมาจากแนวทางการพัฒนาประเทศที่ไม่สมดุล   ซึ่งเริ่มต้นมาจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติฉบับแรก    ทิศทางการพัฒนาที่มุ่งเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ   การพัฒนาอุตสาหกรรมและเมือง   โดยละเลยการพัฒนาระบบเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนในชนบท   ได้ทำให้ผู้คนที่ล้มละลายจากภาคการเกษตรเข้ามาแสวงหาแหล่งงานและโอกาสของชีวิตในเมือง   ทั้งในกรุงเทพมหานครและตามหัวเมืองภูมิภาค

ผู้อพยพเหล่านี้   เมื่อไม่สามารถหาที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้  เพราะที่ดินมีราคาแพง  ประกอบกับภาครัฐขาดมาตรการรองรับด้านที่อยู่อาศัยอย่างพอเพียง   จึงจำเป็นต้องบุกเบิกที่ดินว่างเปล่าใกล้แหล่งงานเป็นที่อยู่อาศัย  ซึ่งได้ขยายกลายเป็นชุมชนแออัดในที่สุด

จากฐานที่มาดังกล่าว  คนสลัมจึงเป็น ผู้บุกเบิกถิ่นฐานในเมือง   พวกเขาลงทุนก่อสร้างที่อยู่อาศัยราคาต่ำ   แม้จะแออัดและดูไม่เป็นระเบียบ   แต่ในทางเศรษฐศาสตร์ถือเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณของรัฐบาลอย่างมหาศาล   นอกจากนี้  การดำรงอยู่ของชาวสลัมยังเกี่ยวพันอย่างมากกับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมือง  ภาคการผลิต  พาณิชยกรรม  การก่อสร้างและธุรกิจบริการ  ต่างต้องพึ่งพาแรงงานจากชุมชน   งานหนักและอาชีพที่ไม่มีใครอยากทำ เป็นต้นว่า เก็บขยะ  กวาดถนน  ขับรถเมล์ ฯลฯ ก็ล้วนแต่คนสลัมทำ

อย่างไรก็ตาม สำหรับภาครัฐแล้วข้อเท็จจริงเหล่านี้  ไม่ได้ถูกนำไปเป็นฐานคิดเพื่อทำความเข้าใจกับสภาพปัญหา  หน่วยราชการต่างๆอาศัยแต่มุมมองทางกฏหมายมาเป็นมาตรการหลักในการแก้ไขปัญหาสลัม  ชุมชนถูกประทับตราว่าเป็น “ผู้บุกรุก”   ดังนั้นจึงขาดสิทธิในการได้รับการบริการพื้นฐานจากรัฐ  รวมไปถึงการพัฒนาด้านต่างๆเสมอเหมือนคนเมืองทั่วไปและท้ายสุดมักไปจบลงที่การใช้กฏหมายในการรื้อย้ายชุมชน

ข้อมูลจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ( องค์การมหาชน ) ระบุว่าปัจจุบันมีชุมชนแออัดทั่วประเทศประมาณ 3,750 ชุมชน 1.14 ล้านครอบครัว ประชากร 5.13 ล้านคน   นอกจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ – รายได้ ปัญหาด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานแล้ว  กล่าวได้ว่าปัญหาความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัยหรือปัญหาการไล่รื้อ   คือปัญหาหัวใจสำคัญของชาวสลัม   ตัวเลขของทางการระบุว่า   ขณะนี้มีชุมชนที่มีปัญหาเรื่องการรื้อย้าย 445 ชุมชน  กำลังอยู่ในระหว่างการไล่ที่ 180 ชุมชน  และที่มีกระแสข่าวว่าจะไล่ประมาณ 265 ชุมชน ทั้งสองส่วนมีประชากรที่จะได้รับผลกระทบจากการไล่รื้อราว 2 แสนคน

2.กฏหมายที่ใช้บังคับไล่รื้อคนสลัม

ในการไล่รื้อชาวสลัม   เจ้าของที่ดินทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนมักใช้ตัวบทกฏหมายเป็นเครื่องมือในการขับไล่   กฏหมายที่มักถูกใช้ในการไล่ต้อนคนจนในเมืองให้ต้องรื้อย้าย ได้แก่ ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 44 ปี พ.ศ. 2502 , พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร ปี 2522 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2535 , กฏหมายอาญาในคดีบุกรุก  และกฏหมายแพ่งในคดีฟ้องขับไล่   ซึ่งกฏหมายดังกล่าวพอสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

            2.1 ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 44 ปี พ.ศ. 2502 ซึ่งให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ในการรื้อถอนบ้านเรือนได้หลังจากครบกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ทางราชการปิดประกาศและมีสิทธิเรียกค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนจากประชาชนได้

            2.2 พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร ปี 2522 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2535   ซึ่งให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นออกคำสั่งรื้อถอนอาคารบ้านเรือนที่ไม่ได้รับอนุญาตในการปลูกสร้างตามมาตรา 42 ภายใน 30 วัน หากพ้นกำหนดแล้วประชาชนไม่ทำตามก็จะถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย

            2.3 กฏหมายอาญาในคดีบุกรุก   ซึ่งเจ้าของที่ดินทั้งภาครัฐและเอกชนมักใช้แจ้งความดำเนินคดีอาญาต่อชาวสลัม

            2.4 กฏหมายแพ่ง  ซึ่งเจ้าของที่ดินทั้งรัฐและเอกชนมักใช้ในการฟ้องขับไล่ชาวสลัมให้ออกจากพื้นที่และเรียกค่าเสียหาย

3. กรณีตัวอย่างของชาวสลัมที่ถูกดำเนินคดี

            3.1 กรณีชุมชนที่ถูกไล่รื้อโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 44 ปี พ.ศ. 2502  ได้แก่ ชุมชนคลองเป้งลีลานุช เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร  ชุมชนคลองเป้งลีลานุช มีประชากรอยู่อาศัยราว 120 ครัวเรือน  ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณริมคลองเป้ง ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่กรุงเทพมหานครดูแลมานานกว่า 40 ปี   ชุมชนถูกสำนักงานเขตวัฒนาขับไล่โดยใช้ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 44 ปี พ.ศ. 2502 เมื่อปี 2547 โดยทางสำนักงานเขตแจ้งว่ามีเอกชนไปร้องต่อศาลปกครองว่าสำนักงานเขตละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ดำเนินการขับไล่ผู้บุกรุกในที่ดินสาธารณะ   ดังนั้นสำนักงานเขตจึงอาศัยอำนาจตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 44 ปี พ.ศ. 2502 มาดำเนินการขับไล่ชาวชุมชนให้รื้อถอนบ้านเรือนออกไป   ทำให้เกิดการรื้อถอนบ้านเรือนจำนวน 5 หลังคาเรือน ในชุมชนคลองเป้งลีลานุช เมื่อปลายปี 2547

            3.2 กรณีชุมชนที่ถูกไล่รื้อโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร ปี 2522 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2535  ได้แก่ชุมชนปากคลองสวน  และชุมชนหลังสน.ทองหล่อ

            ชุมชนปากคลองสวน ตั้งอยู่ในเขตยานนาวา  กรุงเทพมหานคร มีประชากรประมาณ 37 ครัวเรือน ซึ่งอยู่อาศัยมากว่า 20 ปี   ชาวชุมชนปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ริมคลองสวนซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา   ต่อมาในปี 2551 สำนักงานเขตยานนาวา โดยฝ่ายโยธา ได้มีคำสั่งให้รื้อถอนอาคารตามมาตรา 42 ของพรบ.ควบคุมอาคาร ปี 2522 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2535 โดยกำหนดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน   แต่เนื่องจากชาวชุมชนเป็นคนจนเมืองที่ไม่มีที่อยู่อาศัย   ดังนั้นจึงไม่สามารถทำการรื้อย้ายบ้านเรือนได้   ทางสำนักงานเขตจึงได้ไปแจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจนครบาลบางโพงพาง   ซึ่งทางตำรวจได้ดำเนินการตามกฏหมายและส่งเรื่องให้พนักงานอัยการทำการฟ้องร้องต่อศาลในฐานความผิดก่อสร้างอาคารรุกล้ำ , ยึดถือครอบครองที่สาธารณะประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต , ก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต และขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน

            ผลจากการดำเนินคดีทำให้มีชาวชุมชน 2 ราย ถูกศาลตัดสินพิพากษาให้รื้อย้ายบ้านเรือนออกจากพื้นที่สาธารณะและสั่งลงโทษจำคุกเป็นเวลา 1 ปี โดยรอลงอาญา  รวมทั้งสั่งปรับทำให้ชาวบ้านต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนเงินกว่า 20,000 บาทต่อราย

            ชุมชนหลังสน.ทองหล่อ ตั้งอยู่ในเขตวัฒนา  กรุงเทพมหานคร มีประชากรประมาณ 44 ครัวเรือน อยู่อาศัยมากว่า 50 ปี ชาวชุมชนตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองเป้ง ซึ่งอยู่บริเวณหลังสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ  วันที่ 15 กันยายน 2552 มีคำสั่งจากทางสำนักงานเขตวัฒนา แจ้งให้ชาวชุมชนรื้อถอนอาคารตามาตรา 42 ของพรบ.ควบคุมอาคาร ปี 2522 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2535 ภายใน 30 วัน   โดยสำนักงานเขตวัฒนาแจ้งว่าได้มีผู้อยู่อาศัยในอาคารคอนโดมีเนียมที่อยู่ติดกับชุมชนร้องเรียนมาว่าชาวชุมชนต่อเติมบ้านเรือนอันส่งผลต่อความไม่ปลอดภัยและทัศนียภาพของผู้อยู่อาศัยในคอนโดมีเนียม   ดังนั้นจึงเรียกร้องให้สำนักงานเขตวัฒนาดำเนินการรื้อย้ายบ้านเรือนในชุมชน   อย่างไรก็ตามเนื่องจากชาวชุมชนเป็นผู้มีรายได้น้อยไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองจึงไม่สามารถรื้อย้ายตามคำสั่งของเขตวัฒนาได้   ทำให้ทางสำนักงานเขตวัฒนาไปแจ้งความดำเนินคดีกับชาวชุมชนที่สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ   แต่ขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการใดๆจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ

            3.3 กรณีชุมชนที่ถูกไล่รื้อโดยกฏหมายอาญาในคดีบุกรุก ได้แก่ ชุมชนหมู่บ้านพิมาน  เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร   ชุมชนหมู่บ้านพิมาน ตั้งอยู่ในที่ดินของบริษัทสมประสงค์แลนด์ มหาชนจำกัด ในเนื้อที่ 94 ไร่ ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่าภายหลังการทำโครงการหมู่บ้านจัดสรรต้องล้มละลายเนื่องจากวิกฤตฟองสบู่แตกในปี 2540   ชาวชุมชนรุ่นแรกเป็นคนงานก่อสร้างของบริษัท   พอโครงการก่อสร้างล้มละลายแล้วพวกเขาไม่ได้รับค่าจ้างจึงพากันย้ายจากเพิงพักคนงานมาอยู่ในตัวอาคารหมู่บ้านที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ  จากนั้นก็มีเครือญาติพี่น้องและผู้ไม่มีที่อยู่อาศัยทยอยเข้ามาปักหลักปลูกสร้างบ้านเรือนจนกลายเป็นชุมชนที่มีขนาด 300 ครัวเรือน  ต่อมาในปี 2548 , 2550 ทางบริษัทสมประสงค์แลนด์ได้ส่งผู้แทนมาติดประกาศขับไล่โดยให้ชุมชนย้ายออกภายใน 30 วัน   จากนั้นในปี 2552 ก็ได้แจ้งความดำเนินคดีข้อหาบุกรุกกับทางแกนนำชุมชนจำนวน 4 คน ซึ่งขณะนี้คดียังอยู่ในชั้นของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม

            3.4 กรณีชุมชนที่ถูกไล่รื้อโดยกฏหมายแพ่ง   ในกรณีการขับไล่ด้วยการฟ้องร้องตามประมวลกฏหมายแพ่ง   มักเกิดขึ้นกับชุมชนที่อยู่ในที่ดินเอกชนที่เจ้าของที่ดินฟ้องร้องต่อศาลให้สั่งบังคับรื้อย้ายบ้านเรือนในชุมชน   แต่เนื่องจากชาวชุมชนยังไม่สามารถหาที่อยู่อาศัยใหม่ได้จึงปฏิเสธการรื้อย้ายและนำไปสู่กระบวนการบังคับคดีตามกฏหมาย   รวมถึงการแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาขัดคำสั่งศาลในการไม่ยอมรื้อย้าย