ข้อเสนอแนวทางการกระจายการถือครองที่ดินและการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม ในรูปแบบโฉนดชุมชน

Created
วันจันทร์, 26 เมษายน 2553
Created by
คณะทำงานศึกษาแนวทางการกระจายการถือครองที่ดิน
Categories
นโยบายและกฎหมาย
 

1) วิกฤตปัญหาที่ดินในประเทศไทย สถานการณ์การถือครองที่ดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินของประเทศขึ้นอยู่กับตลาดการซื้อ ขายที่ดิน และการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์   โดยไม่มีการควบคุมการเก็งกำไรซื้อขายราคาที่ดิน และการวางแผนการใช้ที่ดินอย่างเป็นระบบ    การใช้ประโยชน์ที่ดินก็ยังไม่เป็นไปตามแผนการจัดการที่ดินและการวางผังเมือง ของประเทศ  ทั้งที่การรักษาความอุดมสมบูรณ์ของที่ดินจะทำให้มูลค่าของที่ดินสูง  และส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานของที่ดินได้อย่างเต็มที่   โดยเฉพาะอย่างยิ่งความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติบนฐานที่ดินนั้น ส่งผลต่อภาคการผลิตทางการเกษตร และสามารถพัฒนาเศรษฐกิจเป็นรายได้ของประเทศชาติและระดับครอบครัวได้อย่างยั่งยืน

ประเทศไทยมีเนื้อที่ทั้งหมด 320.7 ล้านไร่ โดยมีพื้นที่ทางการเกษตรประมาณ 170 ล้านไร่ มีพื้นที่ป่าไม้ 104.7 ล้านไร่ และการใช้ประโยชน์อื่นๆอีกจำนวนหนึ่ง พื้นที่ป่าไม้ลดลงอย่างต่อเนื่องจากเดิมร้อยละ 55 ของพื้นที่ของประเทศ นับแต่มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 มาจนถึงปี พ.ศ.2551  จนเหลือเพียงประมาณร้อยละ 33 ในขณะที่พื้นที่ที่มีความเหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกเพียง 168 ล้านไร่ หรือประมาณร้อยละ 53 ของพื้นที่ประเทศ  แต่มีการใช้ที่ดินผิดประเภทและไม่เหมาะสมจำนวนมาก

สำหรับ การใช้ที่ดินในเมือง   ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดการพัฒนาพื้นที่ทางกายภาพ  ทำให้มีการเปลี่ยนพื้นที่เกษตรเป็นพื้นที่การพาณิชย์ และการท่องเที่ยว พื้นที่อุตสาหกรรม และพื้นที่เมือง   หมู่บ้านจัดสรร ในขณะที่การจัดการสิ่งแวดล้อมยังไม่เป็นระบบ ทำให้ ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ดังกล่าว

การกระจุกตัวของการถือครองที่ดินจะมีภาวะขึ้นลงและรวดเร็วในสภาวะที่เศรษฐกิจ

เฟื่อง ฟูและมีการเก็งกำไรที่ดินที่เหมาะสมในการใช้ที่ดินสำหรับที่อยู่อาศัย อาคารพาณิชย์ และนันทนาการ  การซื้อขายที่ดินได้ใช้กลไกของสถาบันการเงินในการปล่อยกู้ และการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดิน  โดยขาดการตรวจสอบที่ดิน  จึงทำให้มีการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินอย่างผิดกฎหมาย และไม่มีการทำประโยชน์ที่ดิน  ซึ่งทำให้สูญเสียมูลค่าของเงินที่ปล่อยกู้ในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์จำนวน มาก

สถานการณ์วิกฤตปัญหาที่ดินดังกล่าวมาจากนโยบายของรัฐที่ส่งผล กระทบต่อการสูญเสียที่ดินของคนส่วนใหญ่  และก่อให้เกิดปัญหาการแย่งชิงที่ดินในที่ดินของรัฐและของเอกชน  มีการละเมิดสิทธิในที่ดินของชุมชนและประชาชน  ซึ่งทำให้เกษตรกรรายย่อย และประชาชนทั่วไปต้องเผชิญกับปัญหาความไม่มั่นคงในที่ดินทำกิน  และมีผลทำให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ

สาเหตุแห่งปัญหาที่ดินดังกล่าวสรุปได้ดังนี้ 
1) นโยบายของรัฐที่ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ดิน และนโยบายการอนุรักษ์พื้นที่

ซึ่งมีการดำเนินการคู่ขนานกันไป และสร้างปัญหาความขัดแย้งต่อสิทธิในที่ดิน และมีผลต่อการทำลายพื้นที่เกษตรกรรม นโยบายเหล่านั้นได้แก่

นโยบายส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ดิน นโยบายการอนุรักษ์พื้นที่
1) นโยบายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเปิดประเทศเข้าสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ  ด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน เขื่อน และเปลี่ยนพื้นที่เกษตรกรรมเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่เมือง การบริการท่องเที่ยว และพาณิชยกรรม และใช้นโยบายเวนคืนที่ดิน 1) นโยบายการเพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้ได้ร้อยละ 25 ของเนื้อที่ประเทศ  จึงทำให้มีการขยายพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เช่น อุทยานแห่งชาติ วนอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ เป็นต้น  ซึ่งไม่ได้มีการตรวจสอบการถือครองที่ดินและทำประโยชน์ที่ดินมาก่อนในระดับ พื้นที่ แต่ใช้ภาพถ่ายทางอากาศ  จึงทำให้เกิดความขัดแย้งกับประชาชนที่ทำประโยชน์ในที่ดินมาก่อนการประกาศเขต ป่าอนุรักษ์
) นโยบายเร่งรัดออกโฉนดที่ดิน และเอกสารสิทธิ์ที่ดิน  เพื่อสร้างหลักประกันให้บุคคลมีสิทธิในที่ดินอย่างมั่นคง โดยไม่มีการวางแผนการใช้ที่ดินอย่างเหมาะสม  การควบคุมการเก็งกำไรซื้อขายที่ดิน  และไม่มีมาตรการกระจายการถือครองที่ดิน จึงทำให้มีการกระจุกตัวการได้เอกสารสิทธิที่ดินสำหรับบุคคลที่เข้าถึงข้อมูล ข่าวสารการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์    และผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น 2) นโยบายความมั่นคงของประเทศ  เพื่อควบคุมพื้นที่ทำกินและปกครองประชาชน  เช่น นโยบายควบคุมพื้นที่ชายแดน และชนเผ่าบนพื้นที่สูง
3) นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวที่กระตุ้นให้เกิดแย่งชิงพื้นที่ป่า พื้นที่ชายฝั่งทะเล มาเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว  ซึ่งมีผลกระทบต่อการแย่งชิงทรัพยากรที่ดินและทรัพยากรน้ำ 3) นโยบายการอนุรักษ์พื้นที่สาธารณประโยชน์ที่ไม่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมตรวจสอบ กำหนดแนวเขตให้ชัดเจน และสอดคล้องกับสถานการณ์การใช้ที่ดินในปัจจุบัน
4) นโยบายส่งเสริมการทำสวนป่าในที่ดินของรัฐ เพื่อทำสวนป่าเชิงพาณิชย์  ซึ่งเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและมีความขัดแย้งระหว่างสิทธิในที่ดินของ ประชาชนที่ทำประโยชน์ในพื้นที่ป่า 4) นโยบายการหวงห้ามที่ราชพัสดุไว้ให้กับหน่วยงานของรัฐใช้ประโยชน์  โดยมีปัญหาการกำหนดแนวเขตทับซ้อนการทำประโยชน์ในที่ดินของประชาชน หรือการไม่อนุญาตให้ประชาชนใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุ หรือมีการให้เช่าทำประโยชน์ในระยะสั้น

2) มาตรการทางกฎหมายและการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยยึดถือหลักการปกป้องที่ดินของรัฐ และประชาชนต้องมาพิสูจน์สิทธิในที่ดิน ตลอดจนการให้ดุลพินิจแก่เจ้าหน้าที่รัฐในการดำเนินการ จึงทำให้เกิดปัญหาการคอรัปชั่น และการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมและไม่เป็นธรรม กระบวนการแก้ไขปัญหาที่ดินของรัฐโดยสรุปมีดังนี้

2.1) กลไกของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (ก.บ.ร.) ในการพิสูจน์ในที่ดิน และแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่อสิทธิในที่ดิน แต่ปรากฏว่าการแก้ไขปัญหาของ ก.บ.ร.ล่าช้า ก.บ.ร.ไม่สามารถชี้ขาดผลการพิสูจน์สิทธิในที่ดิน หรือบังคับให้น่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามผลการชี้ขาดได้ เพราะไม่มีอำนาจตามกฎหมาย แต่ต้องประสานความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหน่วยงานของรัฐยังใช้แนวทางการพิสูจน์สิทธิ

2.2) การพิสูจน์สิทธิในที่ดินทุกประเภท ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในทุกกระบวนการ การพิสูจน์สิทธิในที่ดินล่าช้า ทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่มีความมั่นคงในการทำประโยชน์ในที่ดิน และส่วนมากต้องสูญเสียสิทธิในที่ดิน จากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ และหลายกรณีถูกเลือกปฏิบัติ

2.3) การให้เช่าที่ดินของรัฐในระยะเวลาสั้น และสัญญาเช่าไม่เป็นธรรม จึงทำให้คนที่ไม่มีเงินทุนจึงไม่มีสิทธิในการใช้ประโยชน์ในที่ดิน

2.4) กระบวนการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดิน โดยประชาชนไม่มีส่วนร่วมตรวจสอบ ทำให้นำไปสู่ขบวนการคอรัปชั่น และพบว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินในที่ดินของรัฐอย่างผิดกฎหมาย ในขณะที่ประชาชนที่ทำประโยชน์มานานอยู่จริง กลับไม่ได้เอกสารสิทธิ์ที่ดิน

2.5) การหวงห้ามที่ดินไม่ให้ประชาชนใช้ประโยชน์ ในขณะที่หน่วยงานของรัฐไม่มีความจำเป็นในการใช้ที่ดิน เช่น กรณีปัญหาความขัดแย้งระหว่างทหารกับประชาชน สถาบันการศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานของรัฐหวงห้ามไม่ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินสาธารณ ประโยชน์ หรือที่ราชพัสดุ

2) ข้อเสนอ
ที่ดิน เป็นต้นทุนทางสังคมที่มีความสำคัญขั้นพื้นฐานต่อสิทธิในที่อยู่อาศัยและ สิทธิในการทำกินอันมั่นคงของประชาชนและเกษตรกร  ที่ดินเป็นฐานทรัพยากรที่สำคัญของการเป็นปัจจัยสี่ต่อการดำรงชีวิต ของมนุษยชาติ เป็นฐานความมั่นคงทางอาหารที่สำคัญ  เมื่อที่ดินในประเทศไทยนั้นไม่สามารถงอกเงยขึ้นมาได้  หากไม่มีการกระจายการถือครองที่ดินให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม   ก็จะนำไปสู่ความขัดแย้งและเป็นปัญหาความมั่นคงของชาติ 

รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 66 ได้รับรองสิทธิของชุมชนในการบริหารจัดการ และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืน และมาตรา 85 รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม      ตลอดจนรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แถลงนโยบายของรัฐบาลในด้านนโยบายภาคเกษตรและนโยบายที่ดิน   ซึ่งให้ความสำคัญต่อการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร และสร้างความมั่นคงทางอาหาร  โดยการคุ้มครองและรักษาพื้นที่ที่เหมาะสมกับการทำเกษตรกรรมเพื่อเป็นฐานการ ผลิตทางการเกษตรในระยะยาว   การทำให้เกษตรกรมีสิทธิการถือครองที่ดินที่มั่นคง 

ดังนั้นการแก้ไข ปัญหาที่ดินจึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน  ที่ผ่านมาหลายฝ่ายมีการเสนอให้มีมาตรการทางกฎหมายต่อระบบภาษีที่ดินในอัตรา ก้าวหน้า การจำกัดการถือครองที่ดิน เพื่อกระจายการถือครองที่ดิน การออกกฎหมายคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมือง และรัฐบาลไม่มั่นคง จึงทำให้มาตรการดังกล่าวไม่ได้ถูกนำมาปฏิบัติ  ดังนั้นคณะทำงานศึกษาแนวทางการกระจายการถือครองที่ดิน  การคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม และการรองรับสิทธิที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชน  จึงมีข้อเสนอมาตรการระยะสั้น ซึ่งจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่อสิทธิในที่ดิน  และเป็นการดำเนินการที่เกิดขึ้นได้จริงในระดับพื้นที่ โดยให้ประชาชนมีบทบาทสำคัญต่อการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม และการจัดการที่ดิน  สำหรับมาตรการระยะยาวในทางนโยบายและกฎหมายยังมีความจำเป็นที่ภาครัฐต้องเร่ง ดำเนินการในการกระจายการถือครองที่ดินและการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อป้องกันมิให้การเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่เกษตรกรรมอย่างรวดเร็วและไร้ทิศ ทาง

มาตรการระยะสั้น
1) การจัดการที่ดินในรูปแบบของโฉนดชุมชน  หมายความถึง การจัดการที่ดินโดยชุมชน
ซึ่ง มีความหลากหลายในรูปแบบการจัดการ  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพเงื่อนไขขององค์กรชุมชนในแต่ละพื้นที่ ระบบนิเวศ วัฒนธรรมของชุมชน และเงื่อนไขในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่อสิทธิในที่ดิน  การจัดการที่ดินต้องเริ่มต้นจากแต่ละชุมชนที่รัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิชุมชน และให้บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ร่วมกันกับชุมชน

ปัจจัยสำคัญในการจัดการที่ดินโดยชุมชนมีดังนี้
(1) ขอบเขตพื้นที่ที่ดินในการจัดการมีความแตกต่างกันในทางระบบนิเวศ และสภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินและฐานทรัพยากรร่วมกัน มีทั้งรูปแบบของพื้นที่เขตการปกครอง พื้นที่หลายหมู่บ้าน หลายตำบล และพื้นที่ใช้ประโยชน์และจัดการร่วมกันได้จริง  เนื่องจากสภาพพื้นที่และความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมมีความแตกต่างกันไปแต่ละ กลุ่มชาติพันธุ์

(2) องค์กรชุมชนที่มีกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน และการควบคุมตรวจสอบกันเองอย่างสม่ำเสมอ  ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรชุมชนมีศักยภาพที่เข้ม แข็ง  ทั้งนี้รูปแบบขององค์กรชุมชนต้องมีความหลากหลายในรูปแบบของคณะกรรมการ สภา สหกรณ์ หรือร่วมกับ อปท.โดยตรง เป็นต้น  เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นสอดคล้องกับศักยภาพขององค์กรชุมชน

(3) การสร้างกระบวนการเรียนรู้แลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ ระหว่างองค์กรชุมชนและสมาชิกในชุมชนเพื่อให้เกิดการสื่อสารและแก้ไขปัญหา ความขัดแย้งภายในชุมชน ตลอดจนการวางแผนการจัดการที่ดิน การสร้างกฎกติกาควบคุมการซื้อขายที่ดิน การออกกฎหมายภาษีที่ดินโดยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  และการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรมโดยการตรวจสอบโครงการพัฒนาต่างๆที่จะกระทบ ต่อพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตรกรรม 

(4) การทำฐานข้อมูลการถือครองที่ดิน การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของสมาชิกใน
ชุมชน และการจัดการที่ดินของชุมชนในแปลงรวม  เพื่อให้มีการตรวจสอบการควบคุมการซื้อขายที่ดิน  ควบคุมการเข้าถึงทรัพยากรในที่ดินที่ชุมชนจัดการ  โดยสมาชิกในชุมชนร่วมกันทำฐานข้อมูลแผนที่ขอบเขตการจัดการที่ดินของชุมชน ทั้งที่ครอบคลุมถึงที่ดินส่วนบุคคล ที่อยู่อาศัย ที่ดินทำการเกษตรกรรม และทำกิจกรรมอื่นๆ  ที่สาธารณะที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ป่าชุมชน  จำนวนประชากรในชุมชน ซึ่งจะพบว่ามีผู้ไร้ที่ดิน และมีผู้ถือครองที่ดินจำนวนมากน้อยต่างกัน เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการจัดการที่ดินของชุมชน และเป็นฐานข้อมูลของการกระจายการถือครองที่ดินและการคุ้มครองพื้นที่ เกษตรกรรมในระดับประเทศ 

(5) ลักษณะของสิทธิในการถือครองที่ดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินต้องอยู่บนฐานของ ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สมดุลและยั่งยืน และเคารพสิทธิของบุคคลและชุมชนร่วมกัน เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างกฎกติกาควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินและการทำ กิจกรรมในพื้นที่ของชุมชน ตลอดจนการวางแผนการใช้ที่ดิน และการวางผังเมืองของชุมชน 

(6) ชุมชนร่วมกับ อปท. พัฒนาระบบภาษีและจัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า และการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม  โดยให้มีธนาคารที่ดินในระดับพื้นที่เพื่อซื้อที่ดินที่ไม่ได้ทำประโยชน์มา จัดสรรที่ดินให้กับคนไร้ที่ดินในชุมชน  และการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรมาทำเกษตรกรรม และร่วมรักษาพื้นที่เกษตรกรรม  

(7) กลไกในระดับจังหวัดที่มีองค์ประกอบจากหลายฝ่าย และตัวแทนของชุมชนเพื่อให้คำปรึกษา แนะนำ และส่งเสริมการจัดการที่ดินของชุมชน  และกำหนดนโยบายภาพรวมของจังหวัดในการวางแผนการใช้ที่ดินและการวางผังเมือง  โดยกลไกนี้ต้องมีองค์ประกอบของหน่วยงานของรัฐ อปท. ชุมชน และคนในเมือง ที่มีการลงพื้นที่เข้าใจสภาพข้อเท็จจริง และหนุนเสริมข้อมูลทางนโยบายให้กับชุมชน 

2) การดำเนินการดังกล่าวให้เริ่มทันทีในพื้นที่ของชุมชนที่มีความพร้อม นำร่องให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วจึงขยายผล โดยใช้มาตรการทางนโยบายมีมติคณะรัฐมนตรีรองรับ  ระหว่างดำเนินการให้สรุปบทเรียนจากกรณีที่ทำสำเร็จ และดำเนินออกเป็นกฎหมายต่อไป
หากการจัดการที่ดินและฐานทรัพยากรโดยชุมชน ดำเนินการได้ตามนี้ ประเทศไทยจะมีฐานข้อมูล การกระจายอำนาจให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วม และการออกกฎหมายที่ส่งเสริมชุมชนท้องถิ่น ในการวางแนวทางการกระจายการถือครองที่ดิน และการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรมที่มีผลปฏิบัติจริง  ทั้งนี้กลไกในระดับชาติและระดับจังหวัดจึงมีความสำคัญที่ต้องมาจากหลายฝ่าย ให้เกิดการทำงานร่วมกัน และมีการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างโปร่งใส

มาตรการระยะยาว
(1) ให้มีมติคณะรัฐมนตรียกเลิกแนวทางการพิสูจน์สิทธิในที่ดิน เนื่องจากเป็นการ
สร้าง ปัญหาความขัดแย้ง แต่ให้ใช้แนวทางการส่งเสริมให้ชุมชนร่วมกับอปท. ทำฐานข้อมูลที่ดินร่วมกันเพื่อเป็นแนวทางการจัดการที่ดินโดยชุมชน  การจัดเก็บภาษีที่ดินโดยชุมชน การคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรมโดยชุมชน และการจัดตั้งธนาคารที่ดินโดยชุมชน 

(2) ให้มีนโยบายรับรองสิทธิในที่ดินให้กับประชาชนในการถือครองที่ดินอย่างมั่นคง ในรูปแบบของการจัดการที่ดินโดยชุมชน  เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในที่ดิน โดยใช้ฐานข้อมูลจากการสำรวจสภาพความเป็นจริงของชุมชน

(3) ให้มีนโยบายตั้งกลไกในระดับชาติและระดับจังหวัด เพื่อมีบทบาทส่งเสริม
สนับ สนุนการดำเนินการตามข้อ 1  และการมีฐานข้อมูลในการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้มาตรการทางภาษีในการจัด เก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า  การจัดเก็บภาษีเพื่อการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม รวมทั้งภาษีสิ่งแวดล้อม  ที่อยู่บนฐานของการกระจายอำนาจให้ชุมชนท้องถิ่นร่วมจัดเก็บภาษี

(4) ให้มีนโยบายกำหนดเขตการใช้ที่ดิน (Zoning) ร่วมกับนโยบายด้านผังเมือง โดยให้ อปท. ร่วมกับชุมชนมีส่วนร่วมพิจารณาเพื่อแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่ สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่  และมีการเก็บภาษีในอัตราที่สูงกับผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่สอดคล้องกับ ศักยภาพของพื้นที่  หรือมีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตที่รัฐบาลลงทุนทำโครงการไป แล้วเช่น เขตชลประทาน  เป็นต้น  ให้มีการลดหย่อนภาษีที่ดินสำหรับพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อสร้างแรงจูงให้ประชาชนมาทำเกษตรกรรม

(5) สำรวจตรวจสอบที่ดินที่อยู่ภายในเขตความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น ว่ามีที่ดินใดบ้างที่ปล่อยให้ทิ้งรกร้างว่างเปล่าไม่ทำประโยชน์เกินกว่า ๑๐ ปี เพื่อส่งเรื่องให้อธิบดีกรมที่ดินตรวจสอบและเพิกถอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบ ครอง  และพิจารณานำที่ดินนั้นไปจัดสรรให้แก่ผู้ยากไร้ขาดแคลนที่ดินต่อไป
(6) สนับสนุนงบประมาณในการสำรวจขอบเขตที่ดินของชุมชน เพื่อเป็นเครื่องมือ กลไกสำหรับการแก้ไขปัญหาร่วมกัน  เช่น งบประมาณการจัดหาแผนที่ ๑: ๔๐๐๐  การรังวัดสำรวจที่ดิน การจับพิกัด GPS  และสนับสนุนงบประมาณในการส่งเสริมการจัดการที่ดินโดยชุมชนทั้งในระดับชาติ ระดับจังหวัด และระดับท้องถิ่น

(7) จัดตั้งธนาคารที่ดินทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น โดยนำรายได้จากภาษีที่เก็บได้มาไว้ในธนาคาร รวมกับงบประมาณของรัฐที่สนับสนุนในธนาคารที่ดิน มาซื้อที่ดินเอกชนที่ไม่ใช้ประโยชน์ที่ดิน เพื่อนำมาปฏิรูปที่ดินให้แก่ประชาชนที่ไร้ที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย

(8) การดำเนินการออกกฎหมายที่แก้ไขปัญหาในระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับข้อเสนอดัง กล่าวทั้งกฎหมายภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า  กฎหมายคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม