จี้'แบงก์รัฐ' ดันแพ็คเกจแก้จน

Created
วันจันทร์, 09 กุมภาพันธ์ 2558
Created by
กรุงเทพธุรกิจ
Categories
ข่าว
 

กระทรวงคลัง เผย "แบงก์รัฐ" เร่งทำโครงการช่วยเหลือคนจน ลดความเหลื่อมล้ำ ตามมติ คสช. 
 
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (เอสเอฟไอ) ทั้งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธ.อ.ส.) ธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) รวมไปถึงธนาคารกรุงไทย อยู่ระหว่างการหามาตรการเพื่อช่วยแก้ปัญหาความยากจน และความเหลื่อมล้ำของคนในประเทศ 
การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามคำสั่งของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจน ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งได้มีการประชุมไปเมื่อวันที่ 2 ก.พ. โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คสช. เข้าร่วมด้วย 
ในการประชุมดังกล่าวได้มีการเชิญแบงก์รัฐเข้าร่วมประชุม พร้อมให้การบ้านแบงก์รัฐเหล่านี้ไปดูว่าแต่ละแบงก์ควรจะมีมาตรการช่วยคนจน และลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างไรบ้าง โดยให้เวลากลับไปคิด 2 สัปดาห์ และนัดประชุมอีกครั้งวันที่ 16 ก.พ.นี้ 
แหล่งข่าวกล่าวว่า มาตรการที่แบงก์รัฐมองกันไว้คือ การช่วยเหลือในเรื่องของภาระหนี้ของกลุ่มคนจน ในส่วนของธ.ก.ส.อาจจะเป็นการพักหนี้ ยืดหนี้ หรือลดดอกเบี้ย ซึ่งการดูแลเรื่องนี้ เป็นจังหวะเหมาะกับโครงการพักหนี้ดีในสมัยรัฐบาลเพื่อไทยกำลังจะหมดอายุลงในวันที่ 31 ส.ค. นี้ ดังนั้นทางแบงก์รัฐที่เกี่ยวข้องกำลังพิจารณาว่าจะต่ออายุ หรือปรับเปลี่ยนเงื่อนไข 
โดยแนวคิดการดูแลภาระหนี้ครั้งนี้ จะนำไปเชื่อมโยงกับการดูแลหนี้ในกลุ่มเกษตรกรและคนยากจน ที่เป็นนโยบายที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังพิจารณา รวมถึงนำข้อเสนอของนายวิเชียร พวงลำเจียก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ที่ต้องการให้พักหนี้ชาวนา 3 ปีมาร่วมพิจารณาด้วย แต่ในการดำเนินการนั้นคงจะไม่ทำเฉพาะกลุ่มเกษตรกรเพียงกลุ่มเดียว แต่จะดูในภาพรวม เพื่อให้ความช่วยเหลือไปยังกลุ่มคนจนด้วย 
ส่วนเอสเอ็มอีแบงก์นั้น กำลังพิจารณาแนวทางการปล่อยสินเชื่อเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้ประกอบการในระดับรากหญ้า หรือกิจการโอท็อป โดยทางหน่วยงานรัฐบาลจะนำเงินทุนที่มีอยู่มาฝากที่เอสเอ็มอีแบงก์ เพื่อให้เอสเอ็มอีแบงก์นำเงินทุนก้อนนี้ไปปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการโอท็อป คาดว่าจะใช้เม็ดเงินประมาณ 1 หมื่นล้านบาท มาปล่อยกู้ดอกเบี้ยในอัตราพิเศษไม่เกิน 5% ส่วนธนาคารออมสิน มีเครื่องมือในการช่วยเหลือกลุ่มคนจนคือธนาคารประชาชน ซึ่งธนาคารกำลังพิจารณาว่าหากจะให้สามารถเข้าถึงคนจนได้มากตามนโยบาย คสช.นั้นควรจะต้องมีการปรับลดดอกเบี้ยลงหรือไม่ 
สำหรับแนวทางทั้งหมดจะเป็นการช่วยเหลือในระยะ 1 ปี โดยให้มองถึงความยั่งยืนในการแก้ปัญหาความยากจน รวมถึงการเข้าไปช่วยกลุ่มเกษตรกรที่กำลังได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ โดยให้ไปดูว่ากลุ่มคนยากจน และเกษตรกรกำลังเดือดร้อนเรื่องอะไร และ แบงก์รัฐสามารถใช้เครื่องมือที่มีอยู่ช่วยเหลืออะไรได้บ้าง 
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค.อยู่ระหว่างการร่างหนังสือมอบอำนาจการกำกับดูแล เอสเอฟไอให้ นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามภายในเดือน ก.พ.นี้ เพื่อมอบอำนาจการกำกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของกระทรวงการคลัง ตามมาตรการ 120 ของพ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามมติของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือ ซูเปอร์บอร์ด 
ทั้งนี้ตามมาตรา พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน ปี 2551 ระบุว่า เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐมนตรีคลัง สามารถมอบอำนาจให้ธปท.ทำหน้าที่ในเรื่องต่อไปนี้ทั้งหมด หรือมอบอำนาจเพียงบางส่วนตามที่กฎหมายกำหนด 
ประกอบด้วย 1.การกำกับดูแลโดยทั่วไป 2.มีอำนาจในการสั่งให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจชี้แจงข้อเท็จจริง และแสดงความคิดเห็น รวมทั้งการแต่งตั้งบุคคลเพื่อตรวจสอบ และรายงานกิจการหรือ ทรัพย์สินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 3.มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอนบุคคลตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งกำหนดค่าตอบแทนหรือผลประโยชน์อื่นใดให้แก่บุคคลดังกล่าว 4. กำหนดนโยบายเพื่อให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจดำเนินการหรือถือปฏิบัติ และ5.มีอำนาจสั่งให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจต้องปฏิบัติ หรือยับยั้งการกระทำของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ขัดต่อนโยบายของรัฐวิสาหกิจ หรือมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) 
โดยการกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ธปท.โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี อาจประกาศกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจต้องปฏิบัติเพิ่มเติม หรือให้นำบทบัญญัติใดของพ.ร.บ.นี้มาใช้บังคับกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจได้ 
"การมอบอำนาจในการกำกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ให้แก่ ธปท. จากปัจจุบันที่อยู่ภายใต้อำนาจของกระทรวงการคลังนั้น เพื่อแยกเรื่องการกำหนดนโยบาย ออกจากการกำกับดูแล ทำให้เกิดความโปร่งใส จากเดิมคลังก็ให้ธปท.ตรวจสอบแบงก์รัฐอยู่แล้ว แต่ธปท.ไม่มีอำนาจสั่งการแบงก์รัฐโดยตรง แต่หลังจากที่คลังมอบอำนาจให้ธปท.แล้ว ธปท.สามารถตรวจสอบ สั่งการได้เหมือนกับธนาคารพาณิชย์ แต่อำนาจกำหนดนโยบายยังอยู่ที่คลัง”
 
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 9 ก.พ. 2558