ลงทะเบียนคนจน...ใครได้ “3 พันบาท”?

Created
วันอังคาร, 29 พฤศจิกายน 2559
Created by
คม ชัด ลึก
Categories
ข่าว
 

poor1

 

งบประมาณแผ่นดิน 1.27 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยรายละ 1,500 บาท และ 3,000 บาท ใครได้ประโยชน์?

หลังจากรัฐบาลมีมติผ่านงบประมาณฉุกเฉิน 1.27 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยรายละ 3,000 บาท ตามข้อมูลที่ได้รับจาก "โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ" หรือชาวบ้านเรียกสั้นๆ ว่า "ลงทะเบียนคนจน" การแจกเงินครั้งนี้กลุ่มไหนมีสิทธิได้รับบ้าง...

 

ย้อนไปเมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีนโยบายเก็บข้อมูลเพื่อจัดทำสวัสดิการช่วยเหลือผู้ยากไร้ หรือมาตรการช่วยเหลือคนจนที่มีรายได้ไม่เกินปีละ 1 แสนบาท จึงให้กระทรวงการคลังดำเนิน "โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ"

 

ใครมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 1 แสนบาท ให้ไปต่อคิวลงทะเบียนผ่าน 3 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารกรุงไทย โดยกำหนดช่วงเวลาไว้เพียง 1 เดือนเท่านั้น ช่วงระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม-15 สิงหาคม 2559

 

ด้วยระยะเวลาเพียง 1 เดือน ที่ชักชวนให้ลงทะเบียน แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ลงแล้วจะได้อะไร ทำให้คนทั่วไปไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก เมื่อสอบถามไปที่ธนาคารก็ได้รับข้อมูลเพียงว่า "กรอกข้อมูลให้รัฐบาลนำไปจัดทำฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อย"

 

ผู้มีสิทธิลงทะเบียนได้ต้องเป็นไปตามเงื่อนไข 3 ข้อ ได้แก่ 1.สัญชาติไทย 2.อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป 3.ว่างงานหรือมีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาท ในปี 2558 ส่วนหลักฐานที่ใช้ในการลงทะเบียน ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนพร้อม "ใบสมัครลงทะเบียน" และต้องไปด้วยตัวเอง ยกเว้น 1.คนพิการ 2.คนป่วย และ 3.ผู้มีอายุ 70 ขึ้นไป สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปลงแทนได้

 

หลังครบกำหนดเวลา 1 เดือน ปรากฏว่ามีผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น8.3ล้านราย แบ่งเป็นเกษตรกร 2.9 ล้านคน และไม่ใช่เกษตรกร 5.4 ล้านคน หากแบ่งตามธนาคารพบว่า มีผู้มาลงทะเบียนที่ "ธ.ก.ส." 4.6 ล้านคน (55.6%) "ธ.ออมสิน" 2.6 ล้านคน (31%) "ธ.กรุงไทย" 4.6 ล้านคน (55.6%)

 

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า (ThaiPublica.org) ที่ทำตารางแจกแจงจำนวนอาชีพผู้มาลงทะเบียน ระบุว่ามีอาชีพเกษตรกรประมาณ 2.9 ล้านคน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ เกษตรกรผู้ปลูกพืช 2.78 ล้านคน (33.5%) เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ 39,007 คน (0.5%) เกษตรกรผู้ทำประมง 22,131 คน (0.3%)

 

ส่วนกลุ่มที่ไม่ใช่เกษตรกร 5.4 ล้านคนนั้น กลุ่มที่มากที่สุดคือ "รับจ้างทั่วไป" 2.7 ล้านคน (32.5%) "ว่างงาน" 1.48 ล้านคน (17.8%) "พ่อบ้าน-แม่บ้าน" 5 แสนคน (6%)

 

แต่ข้อมูลที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ คือ มีผู้มาลงทะเบียนและระบุว่าเป็น "เจ้าของธุรกิจ"จำนวน 203,860 คน หรือประมาณร้อยละ 3.1 มากกว่าผู้มากรอกข้อมูลว่าเป็น "ลูกจ้างเอกชน" ที่มีเพียง 158,041 หมื่นคน หรือร้อยละ 1.9 ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เป็น "ข้าราชการ–เจ้าหน้าที่รัฐ"มีจำนวน 3.7 หมื่นคน หรือร้อยละ 0.4 รวมคนกลุ่มนี้มีประมาณ 4 แสนคน

 

จำนวนตัวเลข 4 แสนรายข้างต้นจากทั้งหมด 8.3 ล้านราย หรือประมาณ ร้อยละ 4.8 ของผู้มาลงทะเบียนทั้งหมดนั้น ดูเหมือนจะไม่มากนัก

 

แต่ปรากฏว่าหลังจากรัฐบาลประกาศ "แจกเงินฉุกเฉิน" 1.27 หมื่นล้านบาท หรือ "เงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ใช่เกษตรกร" ให้ตามข้อมูลของผู้มาลงทะเบียนข้างต้น

 

ทำให้หลายฝ่ายเริ่มรู้สึกว่า เงิน"1.27 หมื่นล้าน"ไม่ได้ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง !?!

 

วันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในการช่วยเหลือคนจน หรือผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ใช่เกษตรกร ที่ลงทะเบียนไว้ทั้งหมด 5.4 ล้านคน โดยผู้ที่ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาทต่อปี จะได้รับเงินช่วยเหลือคนละ 3,000 บาท มีทั้งหมด 3.1 ล้านคน ส่วนผู้มีรายได้ 3 หมื่นขึ้นไป แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี ได้รับเงินช่วยเหลือคนละ 1,500 บาท มีจำนวน 2.3 ล้านคน รวมเป็นเงิน 12,750 ล้านบาท โดยกำหนดแจกเงินตั้งแต่1-30ธ.ค.2559

 

หมายความว่า ผู้มีรายได้น้อยทั้งเจ้าของธุรกิจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ ก็มีสิทธิ์ได้รับเงินแจกปีใหม่ แต่เกษตรกรไม่มีสิทธิ์ได้รับเงิน 3,000 บาท เพราะรัฐบาลถือว่ามีโครงการช่วยเหลืออย่างอื่นแล้ว เช่น โครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย ฯลฯ

อุบล อยู่หว้า ตัวแทนเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก กล่าวถึงการที่เกษตรกรไม่อยู่ในกลุ่มผู้รับเงิน 1.27 หมื่นล้านบาท ว่า การใช้วิธีลงทะเบียนแบบนี้ไม่ใช่วิธีการเข้าถึงข้อมูลที่แท้จริง ไม่ได้ทำให้รู้ว่าใครคือผู้มีรายได้น้อยและเหมาะสมที่จะรับสวัสดิการของรัฐ เหมือนกับให้ อบต.ไปแจกผ้าห่ม หลายครอบครัวก็ไม่รับแม้ว่าจะยากจน เพราะเขามีผ้าห่มเพียงพอแล้ว

 

"เกษตรกรที่ไปลงทะเบียนคงไม่รู้ว่าจะได้อะไร เงินส่วนนี้คนละ 3,000 บาท ก็ไม่ค่อยมีคนพูดถึง หรือร้องเรียนมาว่าอยากได้ พี่น้องเกษตรกรคงไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไร รัฐบาลใช้วิธีนี้เพื่อกระตุ้นตัวเลขจีดีพี เพราะจีดีพีเป็นเครื่องมือของอำนาจ เป็นตัวเลขของกลุ่มทุนนิยม อยากให้เอาเงินหมื่นล้านนี้มาช่วยให้คนได้พึ่งพาตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่เอาไปใช้จ่ายแค่ซื้อของกินของใช้ การเพิ่มสวัสดิการที่ยั่งยืน คือ การหาวิธีเพิ่มการจ้างงาน หางานที่พวกเขาไม่ต้องพึ่งพานายทุนหรือโรงงาน"

 

สอดคล้องกับ สุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ เลขาธิการมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ แสดงความเห็นว่า เป็นการแจกเงินปีใหม่ เพื่อช่วยกลุ่มนายทุนมากกว่าเพื่อสวัสดิการของคนจนอย่างแท้จริง

 

"ที่อ้างว่าจะทำให้เงินหมุนเวียนในระบบนั้น น่าจะหมุนเวียนไปสู่บริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ขายเครืองดื่มแอลกอฮอล์ ห้างใหญ่ ซูเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ เงิน 3,000 บาท น่าจะเรียกว่าแจกเงินกินขนม มากกว่าเรียกว่า เงินสวัสดิการ ทั้งที่ชื่อคือ โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ การแจกเงินแบบนี้ ไม่ได้ทำให้คนมีรายได้น้อยหรือคนด้อยโอกาสมีสวัสดิการเพิ่มมากขึ้น การอ้างว่าถ้าคนซื้อสินค้า แล้วทำให้ห้างร้านอยู่ได้ พนักงานขายไม่ตกงาน โรงงานไม่ปิด แรงงานไม่ขาดรายได้ ข้ออ้างเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เกิดสวัสดิการยั่งยืน ถ้าโรงงานที่ดีไม่เอาเปรียบแรงงาน พวกเขาก็ไม่ปิดตัวง่ายๆ มีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน โรงงานที่กดขี่แรงงานต่างหากมักปิดตัวได้ง่าย ถ้าเศรษฐกิจตกต่ำลูกจ้างโรงงานเหล่านี้ตกงานทันที รัฐควรเอาเงินไปช่วยพวกเขาให้ได้งานใหม่หรืออาชีพใหม่ที่ดีกว่าเป็นลูกจ้างในโรงงาน ค่าแรงที่ได้แต่ละวันก็ไม่พอค่ากินอยู่หรือเลี้ยงดูครอบครัว"

 

นอกจากนี้ ตัวแทนเครือข่ายคนพิการข้างต้นได้เสนอสวัสดิการสำหรับคนพิการในประเทศไทยที่มีอยู่ประมาณ 2 ล้านคน ว่า หากเอาเงิน 1.27 หมื่นล้านบาท มาจัดเป็นสวัสดิการด้านอาชีพ เช่น เงินทุนทำมาค้าขาย หรือผลิตสินค้าต่างๆ การเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ เพิ่มทักษะอาชีพ หรือหาตลาดให้พวกเขา คือการลดการพึ่งพิงครอบครัว เมื่อคนพิการมีรายได้มากขึ้น สามารถเอาเงินไปหมุนเวียนในตลาดเพิ่มขึ้น ที่ผ่านมาสวัสดิการของรัฐที่ทำผ่าน กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพัฒนาสังคมฯ นั้น ไม่เคยทำแบบบูรณการอย่างแท้จริง เป็นโครงการต่างคนต่างทำ

 

แม้หลายฝ่ายเริ่มแสดงความเป็นห่วงการแจกเงินของรัฐบาล แต่ฝ่ายตัวแทนรัฐบาลเชื่อว่า เป็นมาตรการชั่วคราว ซึ่งมีผลดีช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบและประชาชนไม่เป็นหนี้เพิ่ม พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลต้องการให้ผู้มีรายได้น้อยไปขึ้นทะเบียนตามจริง และคาดว่าจะเปิดให้ลงทะเบียนทุกปีด้วย

 

สำหรับคนที่พลาดโอกาสในปีนี้ไปแล้ว การเปิดให้ลงทะเบียนปี 2560 คงมีผู้สนใจไปลงทะเบียนเพิ่มขึ้น หลังจากเห็นนโยบาย "แจกเงินปีใหม่ 3,000บาท" แต่ขอให้พิจารณาส่วนท้ายของใบสมัครให้ดี เพราะมีการกำหนดให้ลงชื่อ "รับรอง" ไว้เป็นหลักฐาน ว่าไม่ได้โกหกข้อมูลด้านอาชีพและรายได้หรือทรัพย์สิน มิเช่นนั้นจะโดนบทลงโทษที่ระบุไว้ว่า

 

"หากข้อมูลข้างต้นไม่ถูกต้องตรงความเป็นจริง ข้าพเจ้าตกลงยินยอมให้ระงับสวัสดิการและประโยชน์อื่นๆ รวมทั้งคืนเงินที่ได้รับพร้อมดอกเบี้ยและตัดสิทธิของข้าพเจ้าในการรับสวัสดิการในอนาคต..."

 

สำหรับพลเมืองดีที่พบเห็นและมีหลักฐานแน่ชัดว่า คนที่ได้รับเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน 3,000 บาท หรือ 1,500 บาท ไม่ได้เป็นผู้มีรายได้ต่ำกว่าปีละ 1 แสนบาท สามารถแจ้งได้ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง โทรศัพท์ 0-2273-9020 ต่อ 3561 หรือ 3512 หรือ 3511

 

poor2

 

 

บทลงโทษข้อมูลเท็จ! ...ใบสมัคร"ผู้มีรายได้น้อย"

 

ที่ผ่านมารัฐบาลไทยหลายยุคสมัยเปิดให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือกลุ่มเกษตรกรผู้ยากไร้มาขึ้นทะเบียนหลายครั้ง โดยมีจุดประสงค์เพื่อจัดหาความช่วยเหลือให้เหมาะสมกับสภาวะหนี้สินหรือค่าใช้จ่ายในครัวเรือน

 

ล่าสุด เดือนกรกฎาคม 2559 รัฐบาล คสช.จัดให้มีการลงทะเบียนอีกครั้ง ภายใต้ชื่อ "โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ" สำหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี หรือประมาณวันละ 300 บาท

 

โดยการลงทะเบียนครั้งนี้ แม้ว่าใบสมัครจะมีเพียง 1 หน้ากระดาษ แต่เนื้อหาข้อมูลที่ต้องกรอกลงในใบสมัครค่อนข้างละเอียด เริ่มจาก การระบุ "รายได้ทั้งสิ้นในปี 2558" โดยแบ่งเป็นช่วงรายได้ 9 ช่วงด้วยกัน ตั้งแต่ "1–10,000บาท" จนถึง "90001-100,000 บาท"

 

ในส่วนของอาชีพนั้น มีการระบุเป็นกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์และทำประมง ส่วนผู้ไม่ใช่เกษตรกร มีทั้ง เจ้าของธุรกิจ รับจ้างทั่วไป ลูกจ้างทำงานในบ้าน แม่บ้าน/พ่อบ้าน เรียนหนังสือ พนักงานลูกจ้างเอกชน ข้าราชการบำนาญ ข้าราชการ พนักงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่วนผู้ที่ไม่มีงานทำสามารถเลือกช่อง "ว่างงาน"

 

แต่ส่วนของใบสมัครที่อาจสร้างความสับสนให้แก่ชาวบ้านทั่วไป คือ ช่องตารางที่ให้ระบุ "ทรัพย์สินทางการเงิน มูลค่า ณ วันที่ลงทะเบียน" โดยแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่

 

1.เงินฝากธนาคาร/สลากออมสิน/สลาก ธ.ก.ส.

 

2.พันธบัตร/ตราสารหนี้

 

3.หุ้นสามัญ/หุ้นบุริมสิทธิ์/หน่วยลงทุนในกองทุน

 

4.อื่นๆ

 

นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งช่องตารางให้ระบุจำนวนมูลค่าทรัพย์สิน ทั้ง 4 รายการข้างต้น เริ่มจากช่อง "1–30,000 บาท" จนถึง ช่องที่มี "มากกว่า 3 ล้านบาท"

 

ข้อมูลที่ต้องระบุนั้น ไม่ได้มีเฉพาะรายได้เท่านั้น แต่มีส่วนของ "เงินกู้" หรือ ช่องให้กรอกข้อมูล "หนี้สิน ณ วันที่ลงทะเบียน"แบ่งเป็น 3 ประเภท

 

1.เงินกู้นอกระบบ 2.มีการใช้ที่ดินเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน/ขายฝาก หรือไม่ และ 3.เงินกู้ในระบบ เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้เพื่อการศึกษา หนี้เพื่อการเกษตร/ประกอบธุรกิจ หนี้เพื่อการอุปโภค/บริโภคอื่น หนี้เพื่อซื้อบ้านและหรือที่ดิน

 

เมื่อกรอกข้อมูลส่วนตัวเสร็จสิ้น ด้านล่างของใบสมัครมีส่วนให้ลงนามเพื่อ "รับรอง" ว่าข้อมูลที่แจ้งไว้ทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงทุกประการ และ "ยินยอม" ให้สถาบันการเงินหรือกรมสรรพากรเปิดเผยข้อมูลกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ตามเนื้อความด้านล่างนี้

 

"ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อมูลข้างต้นถูกต้องตรงตามความเป็นจริงทุกประการ หากข้อมูลข้างต้นไม่ถูกต้องตรงความเป็นจริง ข้าพเจ้าตกลงยินยอมให้ระงับสวัสดิการและประโยชน์อื่นๆ รวมทั้งคืนเงินที่ได้รับพร้อมดอกเบี้ยและตัดสิทธิของข้าพเจ้าในการรับสวัสดิการในอนาคต และข้าพเจ้าตกลงยินยอมให้สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการทางการเงินที่มิใช่สถาบันการเงิน และกรมสรรพากรเปิดเผยหรือให้ข้อมูลของข้าพเจ้าแก่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาจัดสรรสวัสดิการและเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามกฎหมายของรัฐ โดยให้ถือว่าคู่ฉบับและบรรดาสำเนา ภาพถ่าย ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หรือโทรสารที่ทำขึ้นจากหนังสือให้ความยินยอมฉบับนี้ เป็นหลักฐานในการให้ความยินยอมของข้าพเจ้า เช่นเดียวกัน"

 

รัฐบาลประกาศว่า มีผู้มาลงทะเบียนตามโครงการข้างต้นนี้จำนวน 8.3 ล้านคน หากใครตกงานหรือกลายเป็นผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี แล้วพลาดการลงทะเบียนในปี 2559 รัฐบาลอาจเปิดโครงการนี้อีกครั้ง ในปี 2560

 

แต่ที่ต้องระมัดระวังคือ ใครไม่จนจริง หรือมีรายได้เกินวันละ 300 บาท แล้วไปแอบลงทะเบียน จะโดนลงโทษตามที่ระบุไว้ชัดเจนในใบสมัครว่า

 

"ระงับสวัสดิการและประโยชน์อื่นๆ รวมทั้งคืนเงินที่ได้รับพร้อมดอกเบี้ยและตัดสิทธิในการรับสวัสดิการในอนาคต"

 

โดย ทีมข่าวรายงานพิเศษ
ที่มา : คมชัดลึก วันที่ 29 พ.ย. 2559