พิษผังเมืองรวม-ภัยศก.พิเศษ ทำคนพื้นที่เดือดร้อนหนัก

Created
วันจันทร์, 05 ตุลาคม 2558
Created by
โพสต์ทูเดย์
Categories
ข่าว
 
โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน 
 
ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากการประกาศใช้ “ผังเมืองรวมจังหวัด” และ “นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ” จาก จ.สระบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี นครนายก นครศรีธรรมราช เชียงราย สุรินทร์ กระบี่ หนองคาย ตาก แพร่ ชุมพร สตูล สระแก้ว เข้าร่วมประชุมโครงการเผยแพร่และกำหนดทิศทางการสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.การใช้ประโยชน์ที่ดินและการผังเมือง พ.ศ. ... เมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา
 
สำหรับสถานการณ์ภาพรวม จ.มุกดาหาร ถูกประกาศเขตเศรษฐกิจพิเศษ 11 ตำบล 3 อำเภอ อยู่ระหว่างขอขยายเพิ่มเป็น 5 อำเภอ แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติ ปัญหาคือที่ดินราคาแพง จึงมีการยึดคืนพื้นที่สาธารณประโยชน์ 1,085 ไร่ไปใช้ ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนหมดทางสู้
 
จ.นครพนม ประกาศ 13 ตำบล 2 อำเภอ ที่ ต.อาจสามารถ ชาวบ้านถูกรัฐฟ้องร้องฐานบุกรุกพื้นที่ ทั้งที่ชาวบ้านอยู่ในพื้นที่มาไม่ตํ่ากว่า 80-90 ปี
 
จ.หนองคาย ประกาศ 13 ตำบล 2 อำเภอ และกำลังจะประกาศเพิ่มเป็น 26 ตำบล แกนนำชาวบ้านขยับไม่ได้เพราะถูกทหารสกัด มีแผนสร้างรถไฟทางคู่ผ่านกลางเมือง
 
จ.ตาก ประกาศ 14 ตำบล 3 อำเภอ เฉพาะ อ.แม่สอด มีการเวนคืนที่ป่ากว่า 2,000 ไร่ จ่ายชดเชยให้ไร่ละ 7,000-1.2 หมื่นบาท มีชาวบ้าน 97 ครอบครัวเดือดร้อน ทั้งที่ชาวบ้าน 97 ครอบครัว ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ 2,000 ไร่ สร้างรายได้ถึงปีละ 30 ล้านบาท
 
นอกจากนี้ ประเด็นร่วมของชาวบ้านทุกพื้นที่คือความเดือดร้อนจากผังเมือง ซึ่งถูกประกาศใช้ใหม่ อาทิ พื้นที่สีเขียวกลายเป็นสีม่วง พื้นที่เกษตรกรรมกลายเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม สุสาน-ป่าช้าถูกกำหนดเป็นพื้นที่โครงการพัฒนาชุมชนถูกรุกคืบจากนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือแม้แต่การกำหนดพื้นที่รองรับกิจการเหมืองแร่ โรงไฟฟ้า และการขุดเจาะปิโตรเลียม
 
ภารนี สวัสดิรักษ์ นักวิชาการอิสระด้านผังเมือง อธิบายว่า การปรับแก้ผังเมืองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความชัดเจนว่าสภาพในพื้นที่ได้เกิด “ความเปลี่ยนแปลง” ไปแล้วเท่านั้น ทว่าในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นคือมีความพยายามปรับแก้ทั้งๆ ที่พื้นที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ
 
“เมื่อปี 2556 มีการปรับแก้ผังเมืองรวม 9 จังหวัด ขณะนั้นมีการให้เหตุผลว่าผังเมืองเดิมเป็นอุปสรรคต่อการขยายกิจการด้านพลังงานของประเทศ และเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวและการพัฒนา” ภารนี ชี้ประเด็น
 
เธออธิบายเพิ่มอีกว่า ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน พบว่ามี 19 จังหวัดที่ประกาศใช้ผังเมืองรวมไปแล้ว ก่อนจะนำมาปรับปรุงใหม่ ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการปรับแก้เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อกิจการบางอย่าง เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงไฟฟ้าขยะ โรงงานอุตสาหกรรม
 
ภารนี บอกอีกว่า ภายหลังรัฐบาลประกาศนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษก็มีการจัดทำผังเมืองรวมขึ้นมาใหม่ เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถจัดหาที่ดินรองรับโครงการได้ จึงมีการปรับแก้พื้นที่การเกษตรสีเขียวมาเป็นพื้นที่อนุรักษ์ป่าไม้ ก่อนที่จะปรับแก้จากพื้นที่ป่าไม้มาเป็นที่ดินของรัฐอีกครั้ง
 
“ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสามารถทำผังได้ โดยไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการทำผังเมืองรวมปกติ ซึ่งถือว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษอยู่เหนือผังเมืองรวมจังหวัด และเราไม่มีทางรู้เลยว่าอะไรจะถูกใส่ลงไปในพื้นที่เหล่านั้น” ภารนี กล่าว
 
ไพโรจน์ พลเพชร ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) อธิบายว่า ในอดีตกฎหมายให้อำนาจการจัดการผังเมืองอยู่ที่รัฐเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ประกอบกับทิศทางการพัฒนาของประเทศต้องการเน้นการขยายตัวของทุน การเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้นพื้นที่ทุกพื้นที่จึงถูกเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ จึงไม่ต้องแปลกใจที่ผังเมืองไปตอบโจทย์อะไร โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ
 
“คปก.จึงจัดทำร่าง พ.ร.บ.การใช้ประโยชน์ที่ดินและการผังเมือง โดยมีหลักการคือประชาชนมีส่วนร่วม ท้องถิ่นมีส่วนในการจัดการและต้องสมดุลและยั่งยืน ระหว่างอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจกับความยั่งยืนของทรัพยากร ซึ่งแตกต่างไปจากกฎหมายฉบับก่อนๆ ที่ให้อำนาจรัฐเป็นใหญ่และลำเอียงเข้าข้างทุนหรืออุตสาหกรรม” ไพโรจน์ ระบุ
 
ประทีป มีคติธรรม เลขานุการ คปก. กล่าวถึงจุดเด่นของร่างกฎหมายฉบับ คปก. ว่ามีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นและเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นทาง มีการอุดช่องโหว่กรณีผังเมืองหมดอายุ รวมถึงมีการตั้งคณะกรรมการนโยบายดูแลผังเมือง และยังกำหนดแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินระดับชาติและระยะยาว
เป็นความจริงที่ว่าชะตากรรมของชาวบ้าน-คนเล็กคนน้อยตกอยู่ในความเสี่ยงแสนสาหัส

 

ที่มา : โพสต์ทูเดย์ วันที่ 1 ต.ค. 2558