‘ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล’ :พลิกฟื้นปฏิรูปที่ดิน แก้สังคมเหลื่อมล้ำ ไม่เหนือบ่ากว่าแรง

Created
วันพุธ, 30 กันยายน 2558
Created by
สำนักข่าวอิศรา
Categories
ข่าว
 

“ปัญหาที่ดินหลุดมือ เนื่องจากการทำเกษตรกรรมต้องใช้เงินลงทุน จึงต้องกู้ยืมจาก ธ.ก.ส. โดยการจำนองที่ดินไว้ แต่ต่อมาที่ดินผืนนั้นก็จะสูญเสียไป แม้รัฐบาลจะจัดสรรที่ดิน ส.ป.ก. แต่ก็นำไปขาย สุดท้ายวนกลับมาวงจรเดิม เลือดจึงไหลไม่หยุด”

 

ไทยมีความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงฐานทรัพยากรที่ดิน และกำลังเป็นปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ จากจำนวนที่ดินออกเอกสารสิทธิทั้งหมด 127 ล้านไร่ กว่า 90% กลับไปกระจุกตัวอยู่ในมือกลุ่มบุคคลเพียง 10% ของประชากรทั้งประเทศ พื้นที่จำนวนมากถูกทิ้งร้างไม่ใช้ประโยชน์ ขณะที่เกษตรกรรายย่อยไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านครัวเรือน ต้องเช่าที่ดินทำกิน และอีก 811,892 ครัวเรือนไม่มีที่ดินของตนเอง

ความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงนี้ ‘ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล’ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ชวนผู้เข้าร่วมเสวนา ‘แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ด้วยยุทธศาสตร์จัดการที่ดินทำกินให้ผู้มีรายได้น้อย’ ตั้งคำถามไปยังรัฐบาลจะมีนโยบายแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไร ซึ่งเชื่อว่า คงตอบไม่ค่อยได้

ตรงกันข้าม หากตั้งคำถามถึงนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต 5% เขาบอกว่า รัฐบาลจะตอบได้ว่าต้องดำเนินการอย่างไร เช่น การผลักดันส่งออกมากขึ้น ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ ส่งเสริมอสังหาริมทรัพย์ หรือการลดภาษีนำเข้า เป็นต้น

คำถามเปิดประเด็นข้างต้น ชี้ให้เห็นถึงความใส่ใจในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำมีน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับปัญหาอื่น อย่างไรก็ตาม ดร.กอบศักดิ์ คิดว่า จะต้องผลักดันนโยบายที่เหมาะสมต่อไป เพื่อทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งเปรียบดังฐานของพีระมิดอยู่ได้ โดยเฉพาะเรื่องที่ดิน และคงไม่เหนือบ่ากว่าแรง หากจะพลิกฟื้นขึ้นมา

“จากการศึกษาดูงานมา มั่นใจว่า ชาวบ้านสามารถดูแลกันเองได้ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลมักทำให้เกิดความทุกข์ ยามต้องการทำเกษตรผสมผสาน รัฐบาลกลับส่งเสริมทำเกษตรเชิงเดี่ยว ตัดไม้ ทำลายป่า จนภูเขาหัวโล้น สุดท้ายก็เลี้ยงตนเองไม่ได้” อดีตสมาชิก สปช. บอก

ดร.กอบศักดิ์ เปิดเผยถึงปัญหาที่ดินของไทยปัจจุบันเกิดการทับซ้อนกับพื้นที่ป่า เนื่องจากนโยบายประกาศเขตป่า ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านที่อาศัยในพื้นที่นั้นมาก่อนหลายร้อยปี และไม่มีโฉนดที่ดิน ต้องอาศัยอยู่ด้วยความยากลำบาก นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ดินหลุดมือ ที่ดินรกร้างไม่ใช้ประโยชน์ และการบุกรุกทำลายป่า

นับวันปัญหาเหล่านี้ยิ่งย่ำแย่ แม้ไทยจะมีที่ดินใช้ประโยชน์โดยรวม 320.7 ล้านไร่ แบ่งเป็น พื้นที่ป่าไม้ 107 ล้านไร่ พื้นที่การเกษตร 150 ล้านไร่ และพื้นที่ใช้ประโยชน์อื่น ๆ 64 ล้านไร่ แต่ข้อเท็จจริง พบว่า พื้นที่การเกษตรครึ่งหนึ่ง หรือ 52% เช่าทำการเกษตร เกษตรกร 72% ไม่มีความมั่นคงด้านที่ดินทำกิน

อีก 20% นำที่ดินไปจำนอง หรือขายฝาก ซึ่งมีความเสี่ยงจะหลุดมือในช่วงต่อไป นับเป็นที่ดินประมาณ 30 ล้านไร่ ดังนั้น จึงเหลือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพียง 28% จึงน่าคิดว่า หากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป เกษตรกรไทยจะอยู่กันอย่างไร เพราะปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดินไหลออกอย่างต่อเนื่อง

“ปัญหาที่ดินหลุดมือ เนื่องจากการทำเกษตรกรรมต้องใช้เงินลงทุน จึงต้องกู้ยืมจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยการจำนองที่ดินไว้ แต่ต่อมาที่ดินผืนนั้นก็จะสูญเสียไป แม้รัฐบาลจะจัดสรรที่ดิน ส.ป.ก. แต่ก็นำไปขาย สุดท้ายวนกลับมาวงจรเดิม เลือดจึงไหลไม่หยุด” เขากล่าว และว่า บางคนมีที่ดินสูงถึง 6 แสนไร่ จากการได้มาเพียง 1 ชั่วอายุคน แล้วอีก 30 ปีข้างหน้า จะกลายเป็นเท่าไหร่ เมื่อเป็นเช่นนี้ จะแก้ไขปัญหาเลือดไหลไม่หยุดอย่างไร

kobsak1

(สัดส่วนการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตร)

การที่ที่ดินหลุดมือ ส่งผลให้พื้นที่เกษตรกรรมลดลงอย่างต่อเนื่อง โดย ดร.กอบศักดิ์ ยกตัวอย่าง พื้นที่เขตชลประทานมีที่ดินประมาณ 30 ล้านไร่ และเหมาะสมสำหรับการทำนาปลูกข้าว แต่ถูกนำไปใช้ผิดประเภท โดยประมาณ 5 ล้านไร่ เมื่อหลุดมือ ถูกนำไปใช้สร้างโรงงานอุตสาหกรรม รีสอร์ท และบ้านจัดสรร ซึ่งมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น

ขณะที่ที่ดินของ ส.ป.ก.จัดสรรเพื่อเกษตรกรรมถูกครอบครองโดยบุคคลไม่ใช่เจ้าของสิทธิ์เดิมที่ได้รับ คือ เกษตรกร และไม่ใช่คนที่มีชื่อในการถือครอง ส.ป.ก.4-01 กว่า 50% หมายความว่า ยิ่งพยายามแก้ไขด้วยการนำที่ดินให้แก่ชาวบ้าน ที่ดินก็หลุดมือไปสู่กลุ่มทุน พี่น้องถูกใช้เป็นเครื่องมือในการนำที่ดินของรัฐมาอยู่ในมือ

เขากล่าวต่อว่า เกษตรกรส่วนหนึ่งจึงอพยพเข้าเมือง นำไปสู่ปัญหาคนจนเมือง ซึ่งข้อมูลจากการเคหะแห่งชาติ และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) พบคนจนในเมืองที่ยากจนที่อยู่อาศัยมี 9.4 ล้านคน หรือประมาณ 2.4 ล้านครัวเรือน คิดเป็นสัดส่วน 30% ของประชากรเมือง

จากจำนวนนี้มีปัญหาขาดความมั่นคงในการอยู่อาศัย 3,750 ชุมชน 1.14 ล้านครัวเรือน ทำให้หลายคนต้องบุกรุกที่ดินรัฐ คลอง รถไฟ หรือที่ดินสาธารณะ 905 ชุมชน 1.6 แสนครัวเรือน หรือ 7.24 แสนคน

“ผมได้เข้าไปสอบถามชาวบ้านที่อาศัยในชุมชนบ่อนไก่ พบสภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยน้ำครำ น้ำท่วมขัง ชาวบ้านบอกว่า ทุกครั้งที่เดินออกจากบ้าน ไม่รู้ว่ากลับมาจะมีบ้านอยู่หรือไม่ เพราะบ้านของบางคนถูกไฟไหม้แล้ว 2 ครั้ง และทุกคนต้องนอนห้องเดียวกัน สิ่งนี้จึงไม่ใช่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” อดีตสมาชิก สปช. กล่าว และว่า หลังจากนั้นพื้นที่ด้านข้างได้จัดสร้างโครงการบ้านมั่นคง ราคาหลังละ 2 แสนบาท ผ่อนเดือนละ 2,500 บาท นานสูงสุด 15 ปี ซึ่งชาวบ้านอาศัยอยู่อย่างดี รัฐบาลจึงควรผลักดันเรื่องเหล่านี้

ดร.กอบศักดิ์ ยังระบุถึงที่ดินรัฐและเอกชนถูกทิ้งร้างไม่ได้รับการจัดการ หรือใช้ที่ดินผิดวัตถุประสงค์ โดยชี้ให้เห็นข้อมูลว่า ผู้ครอบครองที่ดินมากกว่า 200 ไร่ ใช้ประโยชน์ 71% ผู้ครอบครองที่ดินมากกว่า 1 หมื่นไร่ ใช้ประโยชน์ 30% และผู้ครอบครองที่ดินมากกว่า 5 หมื่นไร่ ใช้ประโยชน์ 3% ซึ่งการกักตุนที่ดินโดยไม่ใช้ประโยชน์ ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ปีละ 1 แสนล้านบาท

kobsak2

สำหรับการแก้ไขปัญหาให้ประสบความสำเร็จ เขาเสนอแนะให้จัดสรรที่ดิน ส.ป.ก.ในรูปที่ดินแปลงใหญ่ (โฉนดชุมชน) ให้ชุมชนบริหารจัดการกันเอง โดยมีกฎห้ามขาย จะช่วยให้ไม่เกิดการหลุดมือของที่ดินไปสู่นายทุน และตอบโจทย์ที่ดินทับซ้อนพื้นที่ป่า

ส่วนชาวบ้านที่มีโฉนดที่ดิน รัฐบาลต้องต่อลมหายใจ เพื่อให้สามารถรักษาที่ดินไว้ได้ โดยการตั้งธนาคารที่ดิน เป็นที่พึ่งพิงกับคนยามยาก และต้องส่งเสริมให้เกิดความเข้มแข็ง รู้จักการทำบัญชีครัวเรือน เพื่อจะสามารถอยู่ได้

เขาขยายความธนาคารที่ดินว่า เป็นองค์กรตั้งขึ้นเพื่อบำบัดทุกข์ของชาวบ้าน ไม่ให้ที่ดินหลุดมือ และจัดสรรที่ดินรกร้างมาสู่ชาวบ้าน โดยอาศัยโครงข่ายจาก ธ.ก.ส. และชุมชนต่าง ๆ ช่วยเหลือ เนื่องจากธนาคารแห่งนี้ไม่มีสาขา เพื่อไม่ให้เกิดภาระ

“ธ.ก.ส.ปล่อยสินเชื่อ และผู้กู้มีที่ดินจะหลุดมือ ธ.ก.ส.จะมีหน้าที่แจ้งมายังธนาคารที่ดิน ณ กรุงเทพฯ เพื่อรับรองว่า ที่ดินดังกล่าวเหมาะแก่เกษตรกรรม ไม่ใช่ที่ดินรกร้าง หลังจากนั้นจะสอบถามไปยังชุมชนว่า เจ้าของที่ดินทำอาชีพหรือไม่ เพื่อให้เกิดการค้ำประกัน และธนาคารจะรับที่ดินผืนนั้นไว้”

ดร.กอบศักดิ์ ระบุอีกว่า ธนาคารที่ดินมีเป้าหมายดำเนินการจัดหาที่ดินให้แก่เกษตรกรและคนยากจนไม่น้อยกว่า 1 แสนรายในช่วง 5 ปีแรก ของการดำเนินการ และ 3 แสนรายในช่วง 10 ปี โดยคาดว่า จะได้รับประโยชน์ในการบรรเทาความทุกข์ให้ชาวบ้านที่จะสูญเสียที่ดิน รักษาที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและอาชีพเกษตรกร ลดความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจของประเทศ และการเกิดประโยชน์และประสิทธิภาพในการใช้ที่ดิน

ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องทำต่อไป คือ การบรรจุเรื่องปฏิรูปที่ดินไว้ในรัฐธรรมนูญ ตลอดจนขับเคลื่อนกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ.สิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากร พ.ร.บ.ธนาคารที่ดิน และ พ.ร.บ.ภาษีที่ดิน มุ่งเน้นการเก็บภาษีที่ดินรกร้าง

ทั้งหมดนี้เป็นข้อเรียกร้องที่ชาวบ้านต้องการ เชื่อว่า หากเดินหน้าในลักษณะนี้ได้ จะเปลี่ยนประเทศไทยได้อย่างแท้จริง

ที่มา : สำนักข่าวอิศรา วันที่ 29 ก.ย. 2558